วันพฤหัสบดีที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ลักษณะสมุนไพรหมามุ่ย

หมามุ่ย ประโยชน์สรรพคุณ และงานวิจัยข้อดีข้อเสีย

ชื่อ หมามุ่ย
ชื่ออื่นๆ บะเหยือง หม่าเหยือง (ภาคเหนือ) ตำแย (ภาคกลาง) โพล่ยู (กะเหรี่ยงกาญจนบุรี) กลออือแซ (กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Mucuna pruriens (Linn.) DC.
ชื่อสามัญ/ชื่ออังกฤษ Cowitch
วงศ์ LEGUMINOIDEAE

ถิ่นกำเนิดหมามุ่ย

หมามุ่ยเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในเขตโซนร้อน (tropical) ต่างๆของโลกในทวีปแอฟริการวมทั้งเอเชีย โดยในเอเชียสามารถเจอหมามุ่ยได้ในประเทศ ไทย อินเดีย จีน เมียนมาร์ ลาว กัมพูชา อื่นๆอีกมากมาย รวมทั้งชอบมีชื่อเรียกต่างกันไปตามแต่ละประเทศ ซึ่งหมามุ่ยในโลกนี้ มีมากนับร้อยสายพันธุ์ แม้กระนั้นก็ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์เดียวกัน

ลักษณะทั่วไปของหมามุ่ย

หมามุ่ยจัดเป็น ไม้ล้มลุกฤดูเดียว มีเถาเลื้อย ยาว 2-10 เมตร มีขนหนาแน่น ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงสลับ ใบย่อยมี 3 ใบ ที่ปลาย รูปไข่หรือรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ใบกึ่งกลางมักมีขนาดใหญ่ที่สุด กว้าง 3-10 เซนติเมตร ยาว 5-15 ซม. แผ่นใบทั้งสองด้านมีขนสีเทาปกคลุม ฐานใบเบี้ยว ปลายใบมนหรือมีติ่งแหลม ขอบของใบเรียบ เส้นกลางใบมี 3 เส้น ดอกออกเป็นช่อกระจะที่ซอกใบ แขวนลงมา ยาว 15-30 ซม. ดอกสีม่วงคล้ำ มีกลิ่นเหม็นเหม็นเบื่อ รูปดอกถั่ว ดอกย่อยมีมากไม่น้อยเลยทีเดียว ขนาดกว้าง 1-2 ซม. ยาว 2-4 เซนติเมตร กลีบกลางรูปไข่ ปลายกลีบเว้า กลีบคู่ข้างรูปขอบขนานแกมรูปไข่ กลีบเลี้ยง โคนเชื่อมติดกันเป็นรูป ปลายแยกเป็น 5 กลีบ สีน้ำตาลอ่อน มีขนคล้ายเส้นไหมปกคลุม เกสรเพศผู้ 10 อัน ก้านเกสรเชื่อมกันเป็น 2 กลุ่ม อับเรณูมีสองแบบ เกสรเพศเมียมีรังไข่รูปแถบ มีขนยาวสีเทา รังไข่อยู่เหนือวงกลีบ ผล เป็นฝักโค้งรูปขอบขนาน กว้าง 0.8-1 ซม. ยาว 5-9 เซนติเมตร ดกราวๆ 5 มิลลิเมตร  มีลักษณะม้วนงอที่ปลายฝัก ตามผิวมีขนสีน้ำตาลอมเหลืองหนาแน่น เป็นขนแข็งแล้วก็สั้น พอเพียงฝักแห้งขนจะหลุดตกลอยละล่องตามลมได้ง่าย เมื่อโดนผิวหนัง จะก่อให้คัน ปวดแสบปวดร้อน เมล็ดมี 4-7 เม็ด สีดำเป็นมัน พบตามชายป่า ดงไผ่ และก็กลางแจ้งในป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ออกดอกรวมทั้งติดผลราวพฤศจิกายนถึงมกราคม

ความไม่เหมือนของหมามุ่ยไทย แล้วก็หมามุ่ยประเทศอินเดีย หมามุ่ยไทยรวมทั้งหมามุ่ยอินเดียนั้นมองผิวเผินแล้วบางครั้งก็อาจจะคล้ายคลึงกัน แต่ก็มีความต่างกันที่ฝักและเมล็ด โดยสามารถดูได้ว่าหมามุ่ยอินเดียจะมีขนฝักสั้น เมื่อสัมผัสแล้วจะไม่มีอาการคัน แล้วก็เมื่อแกะฝักออกมาแล้วเม็ดที่อยู่ข้างในจะมีสองสีสลับกัน ดำบ้างขาวบ้าง ในเวลาที่หมามุ่ยไทยนั้นจะมีขนฝักยาวรวมทั้งถ้าสัมผัสก็จะทำให้เกิดอาการคันรวมทั้ง บางทีอาจเกิดอาการแพ้ได้ ดังนี้ขนาดฝักก็ยังเล็กกว่าหมามุ่ยประเทศอินเดีย ส่วนสีของเม็ดจะเป็นสีดำสนิทขนาดคละกันไป

การขยายพันธุ์ของหมาหมุ่

หมามุ่ยสามารถปลูก แล้วก็ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเม็ด แม้กระนั้นโดยทั่วไปแล้วหมามุ่ยสามารถพบได้ในป่าตามธรรมชาติ ป่ารกร้างแถบปริมณฑลหรือป่าเบญจพรรณ และมักแพร่กระจายเป็นหย่อมทั่วบริเวณที่เจอ หมามุ่ยเป็นพืชเถาที่เติบโตได้ดีในทุกดิน มีความคงทนต่อสภาพแห้งแล้ง แม้กระนั้นเกลียดชังพื้นที่ดินเปียกแฉะ และมีน้ำขัง  การปลูกจะใช้กรรมวิธีเพาะเม็ดในถุงเพาะชำก่อน 1-2 เดือน แล้วนำลงแปลงปลูกเอาไว้ภายในระยะระหว่างต้น 2 x 2 เมตร ข้างหลังปลูกเสร็จจะต้องทำค้างด้วยไผ่รอบหลุมปลูก เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1-1.5 เมตร สูงราว 1.5 เมตร ส่วนของหมามุ่ยที่นำมาใช้ผลดีหมายถึงเมล็ดแก่ ซึ่งต้องเก็บเม็ดในระยะฝักแก่ ซึ่งเวลานี้เถาจะมีใบเหลือง ฝักมีสีน้ำตาลอมแดง ที่สามารถเก็บได้ฝักดิบแก่และฝักแก่แห้ง  สำหรับในประเทศไทยสายพันธุ์ที่เจอจะเป็นกลุ่มไม้ป่า Mucuna pruriens (L.) DC.  (Cultivar group Pruriens)ซึ่งจะมีขนพิษปกคลุมที่ฝัก ส่งผลให้เกิดอาการคันเมื่อสัมผัส ส่วนกรุ๊ปที่เป็นไม้ปลูก Mucuna pruriens (L.) DC.  (Cultivar group Utillis) จะไม่มีขนพิษที่ฝักและไม่มีการปลูกลงในประเทศไทย

องค์ประกอบทางเคมีเมล็ด 

พบสาร L-dopa หรือ L-3,4- dihydroxyphenylalanine สารกลุ่มอัลคาลอยด์ เช่น prurienine, prurienidine, nicotine,  leeihun, gallic acid, tryptamineขน พบสาร serotonin และเอนไซม์ที่ทำให้ระคายเคืองผิวหนัง เช่น proteinase, mucanain

สรรพคุณ/การใช้ประโยชน์ของหมามุ่

หนังสือเรียนยาไทย เมล็ด ปรุงเป็นยาแก้ไข้ ขับฉี่ บำรุงประสาท ฝาดสมาน รักษาโรคผู้ชาย กระตุ้นกำหนัด กระตุ้นรวมทั้งเพิ่มความสามารถทางเพศชาย ราก ขับเยี่ยวอย่างแรง ใบ เป็นยาพอกแผล  ขน จากฝักกระตุ้นให้เกิดการระคายเคืองอย่างแรง ทำให้คันและก็เป็นผื่นแดง ปวดและก็บวม   

ใช้เป็นยาบำรุงกำลัง ทำให้ไม่อ่อนแรงง่าย ช่วยทำให้ร่างกายมีชีวิตชีวากระชุ่มกระชวย เพิ่มความคล่องแคล่วช่วยให้นอนสบาย จิตใจเบิกบานแจ่มใสช่วยเพิ่มสมรรถนะทางเพศให้ดีเลิศเพิ่มขึ้นช่วยกระตุ้นการผลิตน้ำเชื้อ และก็ช่วยทำให้ปรับประสิทธิภาพของน้ำเชื้อให้ดีเยี่ยมเพิ่มขึ้นช่วยความเครียดน้อยลงช่วยเพิ่มการเผารวมทั้งมวลของกล้าม   ชาวเขาเผ่าอีก้อ ใช้ ใบ  ตำคั้นน้ำ ทา หรือพอก รักษาอาการไฟลุกน้ำร้อนลวก

หมามุ่ยมีปรากฏอยู่ในหนังสือเรียนเภสัชตำรับอายุรเวทของประเทศอินเดียว่ามีมีการนำเมล็ดรวมทั้งรากมาใช้ทำยาโดยบอกว่าเมล็ดมีสรรพคุณในการรักษาโรคเสื่อมสมรรถนะทางเพศในขนาดกิน 3-6 กรัม รวมทั้งยังมีการประยุกต์ใช้กับโรคพาร์กินสันอีกด้วย

นอกเหนือจากนั้นในเมล็ดของหมามุ่ยจะมีสาร L-dopaหรือ L-3,4- dihydroxyphenylalanine อยู่จำนวนสูง ซึ่งถูกนำมาผลิตเพื่อการค้าสำหรับการรักษาโรคพาร์กินสัน ซึ่งสาร L-dopa นี้เป็นสารตั้งต้นของสารสื่อประสาท dopamine ซึ่งมีผลต่อสมองส่วนต่างๆในหลายเส้นทาง โดยยิ่งไปกว่านั้นการควบคุมการเคลื่อนไหว และยังส่งผลทำให้ความดันเลือดต่ำลงอีกด้วย

หมามุ่ยมีประวัติการนำมาใช้เป็นของกินในบางประเทศ ตัวอย่างเช่น ประเทศอินเดีย มีการนำเม็ดมาต้มน้ำหลายๆครั้งก่อนนำมารับประทานเพื่อกำจัดสารต่อต้านโภชนาการ(anti-nutritional factors) ประเทศกัวเตมาลาและก็ประเทศเม็กซิโก มีประวัติการนำมาอบแล้วก็บดใช้กินแทนกาแฟ ใบใช้เป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ ฯลฯแม้กระนั้น มีหลายประเทศที่จัดหมามุ่ยเป็นพืชที่ต้องระมัดระวังสำหรับในการใช้ ดังจะมองเห็นได้จากการที่หมามุ่ยมีปรากฏอยู่ในรายชื่อพืชที่มีแถลงการณ์ว่าประกอบด้วยสารที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติซึ่งบางทีอาจไม่ปลอดภัยต่อร่างกายของคนเราเมื่อใช้ในอาหารหรือสินค้าเสริมอาหาร (Compendium of botanicals reported to contain naturally occurring substances of possible concern for human health when used in food and food supplements) ที่คณะทำงานร่วมมือทางด้านวิทยาศาสตร์ของ EFSA (European Food Safety Authority Scientific Cooperation Working Group) ได้จัดเก็บขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการประเมินความปลอดภัยของอาหารแล้วก็สินค้าเสริมของกินที่มีพืชพวกนี้เป็นองค์ประกอบ

รูปแบบ/ขนาดวิธีใช้หมามุ่ย

แก้พิษแมงป่องกัดโดยตำเมล็ดหมามุ่ยให้เป็นผงแล้วผสมน้ำบางส่วนใช้พอกบริเวณที่ถูกกัด แก้ไอโดยใช้รากหมามุ่ยผสมกับรากมะเขือฝาดแช่น้ำรับประทาน หรือนำรากหมามุ่ยมาต้มกับน้ำแล้วกินน้ำก็จะแก้อาการไอได้ ช่วยแก้อาการปวดเมื่อยล้าตามร่างกาย บอบช้ำใน ด้วยการใช้รากหมามุ่ย 1 กิโลกรัม เม็ดผักกาด 5 ขีด แล้วก็เมล็ดผักชี 3 ขีด เอามาตำรวมกันจนกระทั่งเป็นผุยผงแล้วผสมน้ำผึ้งป่าหมักทิ้งไว้ 3 เดือน แล้วนำมาใช้กินก่อนนอน (ขนาดเท่าผลมะพวง) โดยที่กล่าวมานี้เป็นรูปแบบและก็วิธีการใช้ในแบบเรียนโบราณเพียงแค่นั้น สำหรับเพื่อการควบคุมสินค้าจากเมล็ดหมามุ่ยโดยชอบด้วยกฎหมายในประเทศไทยในตอนนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ยังไม่มีการอนุญาตเม็ดหมามุ่ยเป็นเสริมของกินแต่มีการอนุญาตจดทะเบียนเป็นยาแผนโบราณในสูตรผสมมีเมล็ดหมามุ่ยและก็สมุนไพรอื่นๆสำหรับคุณประโยชน์บำรุงร่างกายแค่นั้น

การศึกษาทางเภสัชวิทยา

หมามุ่ยที่มีการนำมาศึกษาค้นคว้าในตอนนี้และมีผลการศึกษาที่ออกมานั้น เป็นหมามุ่ยสารพันธุ์ประเทศอินเดียรวมทั้งสายพันธุ์จีน ส่วนสายพันธุ์ของไทยนั้น ยังไม่มีการนำมาศึกษาศึกษาค้นคว้าอะไร โดยการศึกษาค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับฤทธิ์ของหมามุ่ยต่อความสามารถทางเพศในสัตว์ทดสอบพบว่า การป้อนหนูแรทเพศผู้ด้วยสารสกัดเอทานอลเม็ดหมามุ่ยที่ความเข้มข้น 200 มก./กก.ของน้ำหนักตัว วันละครั้ง เป็นเวลา 21 - 45 วัน สามารถเพิ่มความสามารถทางเพศของหนูได้ พูดอีกนัยหนึ่งมีผลทำให้ความประพฤติปฏิบัติทางเพศของหนูเปลี่ยนไป โดยมีการกระทำการจับคู่รวมทั้งการขึ้นคร่อมตัวเมียถี่ขึ้น และมีช่วงเวลาในการเริ่มสอดใส่ของลับหนแรกจนถึงหลั่งน้ำเชื้อ (ejaculation latency, EL) นานขึ้น ยิ่งกว่านั้นการเรียนทางสถานพยาบาลในประเทศอินเดียกับอาสาสมัครเพศชายที่มีภาวการณ์จำนวนสเปิร์มน้อย และสเปิร์มมีการขยับเขยื้อนเปลี่ยนไปจากปกติ โดยให้อาสาสมัครดื่มนมที่ผสมกับผงบดเม็ดหมามุ่ยขนาด 5 กรัม วันละครั้ง เป็นเวลา 3 เดือนพบว่า ค่าความเข้มข้นของสเปิร์ม รวมทั้งการเคลื่อนไหวของสเปิร์มเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และมีค่าเกือบจะเทียบเท่ากับอาสาสมัครที่มีร่างกายแข็งแรง ซึ่งชี้ให้เห็นว่าเมล็ดหมามุ่ยมีคุณภาพสำหรับเพื่อการช่วยทำให้ปรับปรุงประสิทธิภาพน้ำกามให้ดีขึ้นได้  แม้กระนั้นก็เป็นที่น่าสนใจว่าเมื่อนำผงบดของเม็ดหมามุ่ยมาทดลองในหนูแรทเพศภรรยา กลับมีผลทำให้ความประพฤติทางเพศมีทิศทางลดลง กล่าวคือ มีความประพฤติการจับคู่กับหนูเพศผู้ต่ำลง รวมทั้งปฏิเสธการรับการผสมพันธุ์จากหนูเพศผู้ (5) ชี้ให้เห็นว่าการกินเมล็ดหมามุ่ยอาจได้ผลผิดแผกในระหว่างเพศชายรวมทั้งหญิง นอกจากนี้สารสกัดที่ได้จากราก ลำต้น แล้วก็เม็ด มีฤทธิ์ลดความดันเลือดให้ลดลง มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด และช่วยรักษาโรคเบาหวานรวมทั้งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบของต่อมลูกหมากได้

การศึกษาทางพิษวิทยาของหมามุ่ย

การศึกษาความเป็นพิษทันควันและครึ่งทันควันของของเม็ดหมามุ่ย พบว่า เมื่อให้ผงเม็ดหมามุ่ยทางปากแก่หนูถีบจักรเพศผู้ พบว่าขนาดของผงเม็ดหมามุ่ยทางปากสัตว์ทดลองตายครึ่งเดียว (LD50) มีค่ามากกว่า 1600 มก./กก.(น้ำหนักตัว) แล้วก็เมื่อให้ผงเมล็ดหมามุ่ยทางปากกับกระต่ายปริมาณ 10 ตัว ในขนาด 70 มิลลิกรัม/กก.(น้ำหนักตัว)/วัน ต่อเนื่องกันเป็นเวลา 90 วัน ไม่เจอความแปลกที่แลเห็นด้วยตาเปล่าแล้วก็ค่าทางโลหิตวิทยาอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับกระต่ายกรุ๊ปควบคุม ถึงแม้การศึกษาเล่าเรียนความเป็นพิษกระทันหันแล้วก็ครึ่งหนึ่งทันควันของเม็ดหมามุ่ยจะไม่เจอความผิดปกติในสัตว์ทดลอง แม้กระนั้นมีการศึกษาเล่าเรียนความเป็นพิษต่อไตของเม็ดหมามุ่ยสายพันธุ์ M. pruriens var. utilis 2 จำพวกหมายถึงจำพวกที่ยังไม่ได้ปรุงสุกเปรียบเทียบกับประเภทที่ทำให้สุกโดยการต้มนาน 30 นาที ในหนูแรท โดยผสมในอาหารปริมาณร้อยละ 10, 20 รวมทั้ง 50 เป็นเวลา 4 อาทิตย์ เทียบกับกรุ๊ปควบคุมที่ได้รับอาหารปกติพบว่าค่ายูเรีย (urea) และครีแอทินิน (creatinine) ในเลือดสูงขึ้นอย่างเป็นจริงเป็นจังเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมรวมทั้งเพิ่มขึ้นตามจำนวนของเมล็ดหมามุ่ย นอกเหนือจากนั้นยังพบว่ากลุ่มที่ได้รับผงหมามุ่ยปรุงสุกมีค่ายูเรีย (urea) และครีแอทินิน (creatinine) ในเลือดต่ำยิ่งกว่ากลุ่มที่ได้รับผงดิบ จึงบางทีอาจสรุปได้ว่าการบริโภคเมล็ดหมามุ่ยอาจทำให้กำเนิดความเป็นพิษต่อไตโดยสังกัดขนาดท้องนาดรับประทาน รวมทั้งความเป็นพิษบางทีอาจต่ำลงเมื่อทำให้เม็ดหมามุ่ยสุก     

ข้อแนะนำ/ข้อควรระวังหมามุ่ย

ขนจากฝัก นำมาซึ่งอาการระคายเคืองที่ผิวหนังอย่างแรง ทำให้คันเป็นผื่นแดง ปวดและบวม  การเตือน เด็ก สตรีตั้งครรภ์ คนป่วยที่เป็นโรคความดันเลือดสูง รวมทั้งผู้เจ็บป่วยทางด้านจิตเวชไม่ควรกิน คนแพ้พืชเครือญาติถั่วไม่ควรกิน ด้วยเหตุว่าหมามุ่ยเป็นพืชเครือญาติถั่วชนิดหนึ่งคนเจ็บโรคหัวใจแล้วก็ระบบเส้นเลือดหัวใจไม่ควรทาน เพราะหมามุ่ยมีสารแอลโดขว้าง ซึ่งเป็นสารที่คนไข้โรคหัวใจและเส้นโลหิตควรจะหลีกเลี่ยงด้วยเหตุว่าจะมีผลให้ความดันโลหิตลดลง นำมาซึ่งอาการหน้ามืดหัวและเป็นลมเป็นแล้ง ยิ่งกว่านั้นยังเป็นต้นเหตุทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะอีกด้วย สารแอลโดขว้างจะไปกระตุ้นให้ร่างกายผลิตเมลานินเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งทำให้อาการของโรคโรคมะเร็งผิวหนังแย่ลงโดยเหตุนั้นคนเจ็บโรคมะเร็งผิวหนังจึงไม่สมควรใช้เด็ดขาด แต่ว่าถ้าหากคุณเคยเป็นโรคโรคมะเร็งหรือมีความผิดปกติเกี่ยวกับผิวหนังก่อนใช้หมามุ่ยควรหารือหมอหรือผู้ชำนาญก่อน

เนื่องจากว่าหมามุ่ยมีหลายสายพันธุ์ รวมทั้งขั้นตอนการปรุงก็เป็นไปตามองค์วิชาความรู้ของชนพื้นเมืองนั้นๆดังนั้นจึงไม่สมควรเก็บหมามุ่ยมาบริโภคเองกระทั่งจะมีการรับรองความปลอดภัยของสายพันธ์ที่บริโภคและก็ส่งผลการศึกษาความเป็นพิษของหมามุ่ยที่แจ่มกระจ่างและก็น่าไว้วางใจ

การปลูกสมุนไพรสมอภิเภก

สมอพิเภก ประโยชน์สรรพคุณและงานวิจัยข้อดีข้อเสีย

ชื่อสมุนไพร สมอภิเภก
ชื่ออื่นๆ/ชื่อประจำถิ่น ลัน (เชียงราย) ,แหน แหนต้น แหนขาว (ภาคเหนือ) ,ซิปะคู่ (กะเหรียง เชียงใหม่ ) ,สะคู้ (กะเหรียง แม่ฮ่องสอน) , สมอแหน (ภาคกลาง)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Terminalia bellirica (Gaeryn) Roxb
ชื่อสามัญ Beleric Myrobalan , lnkNot , Bahera และ Beleric
ชื่อวงค์ Combertaceae

ถิ่นกำเนิดสมอภิเภก

สมอพิเภกมีบ้านเกิดเมืองนอนในเอเซียอาคเนย์ สามารถได้โดยทั่วไปในประเทศแถบนี้ ในประเทศไทย สามารถมักพบตามป่าเต็งรังและก็ป่าเบญจพรรณทางภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันตก ภาคทิศตะวันออก และทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลราวๆ 100 – 400 เมตร ส่วนทางภาคใต้ชอบเจอขึ้นตามป่าดงดิบ

ลักษณะทั่วไปสมอพิเภก

ไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ผลัดใบ สูง 15 – 35 เมตร ลำต้นเปลาตรง โคนต้นมักเป็นพูพอน เปลือกสีเทาอมน้ำตาลหรือเป็นสีกะดำกะด่างเป็นแห่งๆค่อนข้างจะเรียบหรือแตกเป็นร่องเล็กๆไปตามแนวยาวลำต้น เปลือกในสีเหลือง เรือนยอดกลมแผ่กว้างรวมทั้งออกจะทึบ ก่อนอ่อนแล้วก็ยอดอ่อนมีขนกระจาย ใบ เป็นจำพวกลำพัง ติดเวียนกันเป็นกลุ่มตามปลายๆกิ่ง ทรงใบรูปรีแกมรูปไข่กลับ กว้าง 9 – 15 ยาว 13 – 19 ซม. โคนใบสอบมาสู่ก้านใบ ส่วนที่ค่อนไปทางปลายใบผายกว้าง ปลายสุดจะยืดคอดเป็นติ่งแหลมสั้นๆเส้นแขนงใบโค้งอ่อน มี 6 -10 คู่ เส้นใบแบบเส้นร่างแหเห็นได้ชัดทางด้านท้องใบ เนื้อใบค่อนข้างจะหนา หลังใบเขียวเข้มรวมทั้งมีขนสี

น้ำตาลกระจายทั่วไป ท้องใบสีจางหรือสีเทามีขนนุ่มๆปกคลุม แต่ทั้งสองด้านขนจะหลุดร่วงไปเมื่อใบแก่จัด ขอบของใบเรียบ ก้านใบยาว 4 – 6 เซนติเมตร รอบๆตรงกลางก้านจะมีต่อมหรือตุ่มหูด หนึ่งคู่ ดอก เล็ก สีขาวอมเหลือง ออกเป็นช่อคนเดียวๆแบบหางกระรอก ที่ง่ามใบหรือรอยแผลใบตามกิ่ง ปลายช่อจะห้อยห้อยลง ช่อยาว 10 – 15 ซม. ดอกเพศผู้ส่วนใหญ่จะอยู่ตามปลายๆช่อ ส่วนดอกบริบูรณ์เพศจะอยู่ตามโคนช่อ กลีบฐานดอก มี 5 กลีบ โคนกลีบเชื่อมชิดกันเป็นรูปถ้วยเล็กๆทั้งหมดทั้งปวงมีขนทั่วไป เกศรเพศผู้มี 10 อัน เรียงทับกันอยู่สองแถว รังไข ค่อนข้างแป้น ข้างในมีช่องเดียวและมีไข่อ่อน 2 หน่วย หลอดท่อรังไข่มีหลอดเดียว ผลกลมหรือกลมรีๆแข็ง ผิวนอกปกคลุมด้วยขนสีน้ำตาลหนาแน่น ออกรวมกันเป็นพวงโตๆ

 

การขยายพันธุ์สมอพิเภก

การขยายพันธุ์สมอพิเภกสามารถทำได้ 2 วิธี คือ การขยายพันธุ์โดยอาศัยเพศ โดยการเพาะเม็ด และการขยายพันธุ์โดยแนวทางไม่อาศัยเพศ โดยการปักชำตอนกิ่ง ในการเพาะพันธุ์โดยการเพาะเม็ดนั้น ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับเพื่อการเก็บเมล็ดควรเก็บประมาณตอนเดือนมากราคมจนกระทั่งพฤษภาคม กรรมวิธีเก็บเมล็ด เมล็ดที่เก็บใหม่ๆจะมีอัตราการงอก 85% เมล็ดที่เก็บไว้นานจะมีเปอร์เซ็นต์การงอกน้อยลง

ไม้สมอพิเภกซึ่งเป็นไม้พื้นบ้านของเมืองไทย การกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติเจอได้ในทุกภาคของเมืองไทย สามารถขึ้นได้ในดินแถบทุกประเภท ด้วยเหตุนั้นในเรื่องพื้นที่ปลูกก็เลยไม่ค่อยพบเจอกับปัญหาสำหรับไม้ชนิดนี้ การปลูกสมอพิเภกขาดต้นกล้านั้น สามารถย้ายต้นกล้ามาปลูกได้โดยแนวทางไม่มีดินหุ้มห่อราก ขนาดของต้นกล้าที่เหมะสมสำหรับเพื่อการย้ายปลูกจะต้องมีอายุ 6 – 7 เดือน มีความสูงราว 40 ซม. ก่อนย้ายปลูกควรจะลิดใบและก็ราก การย้ายต้นไม้จากแปลงเพาะไปปลูกควรจะย้ายในขณะอากาศเปียกชื้น แต่ไม่ควรย้ายขณะฝนตกหนัก เพาะดินบางทีอาจแฉะเหลือเกิน ดินอาจแน่นอากาศถ่ายเทมิได้ สำหรบอัตราการเติบโตแล้วก็การปรับปรุงพันธุ์ไม้สมอพิเภกนั้น ยังไม่การเล่าเรียนและก็บันทึกข้อมูลไว้ จำนวนมากแล้วจะปลูกไว้เพื่อเป็นไม่ใช้สอยโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ผลดีทางด้านสมุนไพร

องค์ประกอบทางเคมีของสมอพิเภก

Chebulagic acid , ellegic acid , galli acid

สรรคุณสมอพิเภก

ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย ต่อต้านไวรัส ต่อต้านเชื้อรา ต้านยีสต์ ฆ่าไส้เดือน ต่อต้านไข้จับสั่น เป็นพิษต่อปลา แก้โรคหืดแก้ไอ แก้หวัด รีบการผลิตน้ำดี รักษาดีซ่าน ลดระดับความดันโลหิตยับยั้งระดับโคเลสโตคอยลในเลือดสูง ยั้งเส้นโลหิตอุดตัน ยั้งเบาหวาน ลดระดับน้ำตาลในเลือด ยั้งฟันผุ ลดการอักเสบ แก้สิว คลายกล้ามมดลูก ยั้งการฝังตัวของตัวอ่อนที่ผนังมดลูก ยั้งการกลายพันธุ์ ยับยั้งเอนไซม์ HIV-1 revese transcriptase , HIV-1 Protease

ตำรายาไทยสมอพิเภก

ผลอ่อนสมอพิเภก แก้ไข้เพื่อเสมหะ แล้วก็ไข้เจือลม เป็นยาระบาย ยาถ่าน ผลแก่ แก้เสมหะ จุกคอ ทำให้เปียกคอ แก้โรคตา แก้ธาตุกำเริบ บำรุงธาตุ แก้ไข้ แก้ริดสีดวง แก้ท้องร่วงท้องเดิน รักษาโรคโรคท้องมาน เมล็ดใน แก้บิด แก้บิดมูกเลือด สมอพิเภกจัดอยู่ใน “พิกัดตรีผลา” เป็นการจำกับจำนวนผลไม้ 3 อย่าง มี ลูกสมอพิเภก ลูกสมอไทย ลูกมะขามป้อม คุณประโยชน์แก้ปิตตะ วาตะ เสมหะ ในกองธาตุ กองฤดู กองอายุ และก็กองสมุฏฐาน “พิกัดตรีสมอ” เป็นการจำกัดจำนวนสมอ 3 อย่างมี ลูกสมอพิเภก ลูกสมอไทย ลูกสมอเทศ สรรพคุณแก้เสมหะ บำรุงธาตุ แก้ไข้ ผายธาตุ ทราบถ่ายทราบปิดเอง

รูปแบบ / ขนาดวิธีการใช้สมอพิเภก

  • ขับปัสสาวะ ใช้เปลือก ต้น ต้มกิน ขับปัสสาวะ
  • เป็นยาระบาย ยาถ่าย ใช้ผลโตสมอพิเภกแต่ยังไม่แก่ 2 – 3 ผล ต้มกับน้ำ 1 ถ้วยแก้ว ใส่เกลือบางส่วน กินครั้งเดียว
  • เป็นยาแก้ท้องเสีย ท้องเดิน (ไม่ใช่บิด หรือ อหิวาตกโรค) ใช้ผลแก่ 2 – 3 ผล ต้มกับน้ำ 2 ถ้วยแก้ว ใส่เกลือนิดหน่อย บดกระทั่งเหลือ 1 ถ้วยแก้ว ใช้รับประทาน
  • รักษารอยแผล นำใบสดมาตำให้รอบคอบ แล้วพอกที่รอยแผล
  • แก้มะเร็ง สารสกัดจากสมุนไพรสมอพิเภกรวมกับสมอไทยรวมทั้งมะขามป้อมสามารถยั้งการเติบโตและก็ช่วยฆ่าโรคมะเร็งได้

การศึกษาทางเภสัชวิทยาของสมอพิเภก

สารสกัดด้วยเอธานอลของสมอพิเภกช่วยเพิ่มการขับน้ำดีในหมา และทำให้ความดันเลือดน้อยลงจนถึงตายได้ และก็ขนาดที่ทำให้หนูถีบจักรตามครึ่งหนึ่ง (LD 50) พอๆกับ 4.25 กรัม / กก. เมื่อให้ทางปากแม้กระนั้นสารสกัดด้วยน้ำของสมอพิเภกส่งผลน้อยต่อการขับน้ำดี รวมทั้งทำให้ความดันเลือดน้อยลงบางส่วน รวมทั้งเมื่อป้อนสารสกัดสมอพิเภกในหนูถีบจักรขนาด 5 กรัม / กิโล ไม่ก่อให้เกิดอาการพิษ

การศึกษาทางพิษวิทยาของสมอพิเภก

สารสกัดด้วยเอธานอลของสมอพิเภกช่วยเพิ่มการขับน้ำดีในสุนัข รวมทั้งทำให้ความดันเลือดลดน้อยลงจนกระทั่งตายได้ แล้วก็ขนาดที่ทำให้หนูถีบจักรตามกึ่งหนึ่ง (LD 50) พอๆกับ 4.25 กรัม / กก. เมื่อให้ทางปากแม้กระนั้นสารสกัดด้วยน้ำของสมอพิเภกส่งผลน้อยต่อการขับน้ำดี และทำให้ความดันโลหิตน้อยลงบางส่วน รวมทั้งเมื่อป้อนสารสกัดสมอพิเภกในหนูถีบจักรขนาด 5 กรัม / กก. ไม่ส่งผลให้เกิดอาการพิษ

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ประโยชน์สมอภิเภก

แปะก๊วย สมุนไพรสรรพคุณทรงคุณค่า บำรุงร่างกายได้เยี่ยมที่สุด

แปะก๊วย ประโยชน์สรรพคุณ และงานวิจัยข้อดีข้อเสีย

ชื่อสมุนไพร แปะก๊วย
ชื่ออื่นๆ หยาเจียว (จีน) อิโจว(ญี่ปุ่น)
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Gingko biloba L.
ชื่อวงศ์ Ginkgoaceae

ถิ่นกำเนิดแปะก๊วย

แปะก๊วยมีบ้านเกิดอยู่แถบตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน เชื่อกันว่าเป็นพืชที่ดั้งเดิมที่สุดในโลกชนิดหนึ่ง ที่เหลืออยู่ในประเทศจีน ซึ่งเป็นพืชที่หายากและใกล้จะสิ้นพันธุ์ โดยเจออยู่ในธรรมชาติไม่กี่ต้น ต่อมามีการนำต้นแปะก๊วยไปปลูกไว้ในญี่ปุ่นและก็เกาหลี และก็ในราวศตวรรษที่ 18 ได้มีการปลูกในทวีปยุโรป ตอนนี้ต้นแปะก๊วยเป็นไม้ให้ความร่มเงาตามแถวถนนหนทางแล้วก็สวนสาธารณะทั่วไปทั่งในยุโรป ประเทศออสเตรเลีย รวมทั้งอเมริกาลักษณะทั่วไป ต้นแปะก๊วยเป็นไม้ยื่นต้นขนาดใหญ่อาจสูงได้ถึง 35 – 40 เมตร ต้นโตเต็มกำลังมีเส้นรอบวงราว 3 – 4 เมตร แล้วก็อาจโตได้ถึง 7 เมตร ใบเป็นใบเดียว ลักษณะซึ่งคล้ายพัด กว้าง 5 – 10 ซม. ก้านใบยาว ใบแก่มีรอยหยักเว้ากึ่งกลาง ใบออกเวียนสลับกัน หรือออกเป็นกลุ่มตามปลายกิ่ง เส้นใบขนานกันเยอะๆ ใบอ่อนเป็นสีเขียว สามารถเปลี่ยนเป็นสีแก่ได้เมื่อโตเต็มที่ รวมทั้งเป็นสีเหลืองในฤดูใบไม้หล่น ต้นแปะก๊วยจะมีต้นเพศผู้ และต้นตัวเมีย ซึ่งลักษณะไม่เหมือนกัน

การขยายพันธุ์แปะก๊วย

ปัจจุบันนี้ขยายพันธุ์โดยวิธีการ เพาะเม็ด , ปักชำ , ทาบกิ่ง โดยกรรมวิธีการเพาะเม็ด มีดังนี้

  • ล้างเม็ดแปะก๊วยในน้ำอุ่นให้สะอาดเพื่อไม่ให้กำเนิดเชื้อรา
  • หมกเม็ดที่ล้างแล้ว ในขุยมะพร้าวหรือเถ้าถ่านแกลบในถุงซิบล็อก ปิดถุงให้สนิท และจากนั้นจึงนำไปเก็บไว้ภายในตู้เย็น (ช่องเก็บผัก) ประมาณ 12 อาทิตย์ เดี๋ยวนี้ให้รอหมั่นตรวจตราว่ามีต้นอ่อนเริ่มแตกออกมาหรือยัง ถ้าหากมีเมล็ดไหน 

แตกหน่อก่อน 12 อาทิตย์ ก็แยกออกมาเพาะก่อน

  • ให้นำเม็ดที่แตกออกก่อนมาเพาะในถุงชำ ใช้ดินถุงที่ขายปกติ ฝังเมล็ดแปะก๊วยลงไปราว 2 นิ้ว วางถุงเพาะชำให้โดนแดดอ่อนๆให้ดินที่

เพาะเมล็ดชื้ออยู่ตลอดระยะเวลาแต่อย่าให้เฉอะแฉะ จากนั้นก็คอยให้ต้นเขาโตขึ้นมาก่อนที่จะนำไปปลูกลงดิน

  • สำหรับเม็ดที่ไม่แตกหน่อก่อนกำหนด เจอครบ 12 อาทิตย์ในตู้แช่เย็นก็ออกมาเพาะต่อตามข้อ 3

องค์ประกอบทางเคมีของแปะก๊วย

ใบแปะก๊วย มีสารประกอบทางเคมีมากมาย แม้กระนั้นที่สำคัญมีอยู่ 2 กรุ๊ปเป็นเทอร์ปีนป่ายอย์ (terpenoids) มีสารประกอบที่สำคัญชื่อ กิงโกไลด์ (ginkgolide) รวมทั้งมีบิโลบาไลด์ (bilobalide) และอีกกรุ๊ปคือ ฟลา-โม้นอยด์ (flavonoids) นอกเหนือจากนี้ยังเจอในพวกสารสตีรอยด์ (steroide) อนุพันธ์กรดอินทรีย์แล้วก็น้ำตาล

สรรพคุณแปะก๊วย

ฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ มีคุณลักษณะช่วยป้องกันโรคมะเร็ง และยังสามารถชะลอความแก่ได้ ฤทธิ์การหยุดยั้งการเกาะตัวของ เกล็ดเลือดทำให้การไหลเวียนของเลือดในเส้นเลือดแดง เส้นเลือดดำ และเส้นเลือดฝอย ฤทธิ์เพิ่มการไหลเวียนของโลหิตไปยังสมอง ทำให้ความสามารถสำหรับในการปฏิบัติงานรวมทั้งการตัดสินใจดียิ่งขึ้น ฤทธิ์กระตุ้นระบบไหลเวียนของเลือด ทำให้เลือดไหลฉีดไปตามผิวหนังได้ดี ฤทธิ์เพิ่มความรู้ความเข้าใจสำหรับเพื่อการทำความเข้าใจ ฤทธิ์ยั้งการเกิดไลปิดเพอรอกไซด์ ฤทธิ์ช่วยทำให้ความจำ ฤทธิ์ทำให้เส้นเลือดหดตัว ฤทธิ์เพิ่มการมองเห็น และฤทธิ์ยั้งการเสื่อมของสมอง เสริมสร้างสมรรถนะทางเพศ จะช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดในร่างกายดียิ่งขึ้น แก้ไขเลือดไปไหลเวียนในรอบๆอวัยวะสืบพันธุ์ไม่สะดวก บรรเทาของกินของโรคพาร์กินสัน สารสกัดจากแปะก๊วยจำหัวเข่าไปช่วยเพิ่มระบบไหลเวียนเลือดในสมอง ทำให้ร่างกายสามารถผลิตฮอร์โมนโดปามีนได้มากขึ้น และนำส่งไปยังอวัยวะต่างๆในร่างกายได้อย่างพอเพียง

แบบและขนาดวิธีการใช้

  • สารสกัดแปะก๊วยแห้ง –ใช้ 120 – 240 มก. แบ่งให้วันละ 2 – 3 ครั้ง สำหรับอาการ dementin โดยให้ยาติดต่อกัน 8 สัปดาห์ แม้กระนั้นไม่เกิน 3 เดือน
  • สารสกัดแปะก๊วยแห้ง – ใช้ 120 – 160 มิลลิกรัม แบ่งให้วันละ 2 – 3 ครั้ง สำหรับรักษาอาการเส้นโลหิตแดงส่วนปลายประสาทอุดตัน และ ความมึนงง มีเสียงในหู โดยให้ยาติดต่อกัน 6 – 8 อาทิตย์
  • สำหรับเพื่อการใช้เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ให้ใช้กินไม่เกินวันละ 120 มิลลิกรัม

การศึกษาทางเภสัชวิทยาของแปะก๊วย

มีการทดสอบแปะก๊วยกับผู้เจ็บป่วยที่มีอาการผิดพลาดเรื้อรังของสมองส่วนซีรีบรัม รวมทั้งเส้นเลือดพบว่า ในแปะก๊วยช่วยทำให้มีการความเจริญทางความจำความนึกคิด นอนหลับได้ง่ายขึ้น ส่วนคนป่วยโรคอัลไซเมอร์นั้น ในประเทศสหรัฐอเมริกา ใบแปะก๊วยก็ถูกให้อย่างมากมายเพื่อเป็นยารักษาอาการดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้ว โดยมีการทดลองในปี 1994 ทดสอบให้ใบแปะก๊วยกับกรุ๊ปคนเจ็บอัลไซเมอร์ พบว่าผู้เจ็บป่วยมีความจำ และก็สมาธิได้ดิบได้ดีขึ้น

ในปี 1996 ได้มีการทดสอบพบว่าใบแปะก๊วยมีประสิทธิภาพช่วยป้องกันคนที่มีลักษณะ AMS (Asthma & AcutE Mountain Sickness) หรือภาวการณ์ไม่ดีเหมือนปรกติของการหายใจขณะขึ้นสู่ที่สูงได้ ส่วนคนในฝูงคนที่ประสบพบเจอกับปัญหาหูอื้ออยู่เป็นประจำ การรับประทานอาหารใบแปะก๊วยยังช่วยลดภาวการณ์หูอื้อลงได้อีกด้วย

การศึกษาทางพิษวิทยาของแปะก๊วย

การทดสอบความเป็นพิษกระทันหันของแปะก๊วยในหนู พบว่าให้ค่า LD50 เท่ากับ 7725 มิลลิกรัม/โลน้ำหนักตัว ไม่เจอผลที่ก่อให้เกิดการก่อกลายชนิด (mutagen) หรือทำให้เกิดโรคมะเร็ง (carcinogen) และไม่เป็นพิษต่อ ระบบอวัยวะสืบพันธุ์

ข้อแนะนำ/ข้อควรระวัง

  • สาร Gingkolide จากใบแปะก๊วยมีฤทธิ์ยีนส์การเกาะดึงของเกล็ดเลือด ถ้าเกิดกินยาแอสไพรินอยู่ประจำ หรือ รับประทานยา Gingkolide อยู่อาจมีผลข้างเคียงของการที่เลือดไหลไม่หยุด
  • ถ้ารับประทานสารสกัดจากในแปะก๊วยในจำนวนมาก อาจส่งผลให้กำเนิดอาหารคลื่นไส้ คลื่นไส้ ท้องเดิน และมีอาหารกระวนกระวาย
  • สำหรับหญิงตั้งครรภ์และก็ให้นมบุตร ยังไม่มีการวิจัยตีพิมพ์ถึงความปลอดภัย หรือผลที่จะกำเนิดกับทารก

อีกทั้งหากรับประทานสารสกัดแปะก๊วยมากจนเกินความจำเป็นอาจมีผลกระทบทำให้ปวดศีรษะ มึน เวียนหัว ทางเดินอาหารป่วนปั่น หรือบางทีอาจกำเนิดอาการแพ้ทางผิวหนัง ระบบหายใจและเส้นเลือดไม่ปกติ ง่วงซึม ระบบการนอนหลับก็ป่วนปั่นไปด้วย

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : เเปะก๊วย

สรรพคุณดีๆเเละยอดเยี่ยมสมุนไพรถั่งเช่า

ถั่งเช่า ประโยชน์สรรพคุณ และงานวิจัยข้อดีข้อเสีย

ชื่อสมุนไพร  ถั่งเช่า
ชื่ออื่นๆ ตังถั่งเช่า (dong Chong Cao) ,ตังถั่งแห่เช่า (dong Chong Xia Cao), หญ้าหนอน
ชื่อวิทยาศาสตร์ Ophiocord yceps  sinensis

ถิ่นกำเนิด

ถั่งเช่าพบได้ แถบทุ่งหญ้าประเทศจีน (ธิเบต) , เนปาล , ภูฎาน ในระดับความสูง 10000 -12000 ฟุต จากระดับน้ำทะเล  แต่ในปัจจุบันมีการเพาะเลี้ยง  ส่วนใหญ่เพาะเลี้ยงในบริเวณภาคใต้ของมณฑลชิงไห่ , เขตซานโตวในธิเบต   มณฑลเสฉาน   ยูนนาน   และกุ้ยโจว 

ลักษณะทั่วไปของถั่งเช่า

ถั่งเช่า ที่เรียกว่าหญ้าหนอน เพราะเหตุว่าสมุนไพรชนิดนี้ประกอบไปด้วย 2 ส่วน หน้าหนาวเป็นหนอน หน้าร้อนเป็นต้นหญ้า หมายถึง ส่วนที่เป็นตัวหนอน  ตัวหนอนของผีเสื้อ มีชื่อวิทยาศาสตร์ Hepialus  armoricanus Oberthiir  และก็บนตัวหนอนมีเห็ดประเภทหนึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ Cordyceps sinensis (Berk.) Saec. หนอนชนิดนี้ในช่วงฤดูหนาวจะฝังตัวจำศีลอยู่ใต้ดินภูเขาหิมะ  เมื่อน้ำแข็งเริ่มละลาย  สปอร์เห็ดจะพัดไปกับน้ำแข็งที่ละลาย แล้วไปตกที่พื้นดิน จากนนั้นตัวหนอนกลุ่มนี้ก็จะกินสปอร์ แล้วก็เมื่อหน้าร้อนสปอร์ก็เริ่มเจริญวัยเป็นเส้นใยโดยอาศัยการดูดสารอาหารรวมทั้งแร่ธาตุจากตัวหนอนนั้น เส้นใยแตกหน่อออกมาจากห้องของตัวหนอน และก็แตกหน่อออกมาจากปากของมัน เห็ดกลุ่มนี้อยากได้แสงตะวันมันก็เลยผลิออกขึ้นสู่พื้นดิน  รูปลักษณะข้างนอกคล้ายไม้กระบอก ส่วนตัวหนอนเองก็จะค่อยๆตายไป อยู่ในลักษณะของหนอนตามซาก  ฉะนั้น “ถั่งเช่า” ที่ใช้เพื่อทำเป็นยาก็คือ ตัวหนอนรวมทั้งเห็ดที่แห้งแล้วนั่นเอง  โดยถั่งเช่าที่มีคุณภาพดี  ตัวหนอนควรมีสีเหลืองผ่องใส  แล้วก็มีความยาว ขนาดใหญ่บริบูรณ์ ด้านหน้าตัดมีสีขาวแกมเหลือง  และส่วนที่เป็นรา มีสีน้ำตาลเข้ม

การขยายพันธุ์ของถั่งเช่า

  • เตรียมขวดแก้ว
  • จัดแจงสารอาหารสำหรับเชื้อเห็ดถั่งเช่าสีทอง คือ ข้าวสังข์หยด , ปลายข้าว , ข้าวโพด . ถั่วเขียว , ถั่วเหลือง , กากถั่วเหลืองรำข้าว , ตัวหนอนไหม(ดักแด้)(บด) เพื่อมาเป็นแหล่งโปรตีน ถ้าช่วงไหนไม่มีหนอนไหม ก็ให้ใช้ไข่แทน
  • นำน้ำที่ต้มกับมันฝรั่ง , ข้าวโพดอ่อน , ไข่ แล้วนำไปเพิ่มในขวดที่ใส่อาหารไว้
  • นำไปนึ่ง ในหม้อนึ่งความดัน ที่อุณหภูมิ 121 องศาเซลเซียส , ด้วยความดันที่ 15 ปอนด์/ตารางนิ้ว เป็นเวลา 30 นาที กรณีที่นึ่งด้วยลังถึง ให้นึ่งนานตรงเวลา 30 – 40 นาที จากเมื่อน้ำเดือด , แล้วนำมาพักไว้ 1 วัน , แล้วเอามานึ่งแบบเดิมอีกครั้งหนึ่ง
  • แล้วนำไปเขี่ยใส่เชื้อเห็ด ลงในขวดสารอาหาร แล้วค่อยนำไปบ่งเชื้ออีก 2 อาทิตย์ ในที่มืด
  • แล้วต่อจากนั้นเอามาเลี้ยงต่อในที่ ควบคุมอุณหภูมิ ให้มีความเย็น 18 องศา ต่ออีก 2 – 3 เดือน จนถึงเห็ดขึ้นเต็มที่ก็เลยเก็บผลผลิตได้

องค์ประกอบทางเคมีของถั่งเช่า

ถั่งเช่ามีองค์ประกอบทางเคมีที่สำคัญเป็น สารแมนนิทอล  (manniton) หรือกรดคอร์ดิเซพิก (cordycepic acid) มีปริมาณร้อยละ 7 – 29 (ต่างกันในระยะเติบโตต่างๆของดอกเห็ด) และก็สารคอร์ดิเซพิน (cordycepin) ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของสารอะดีโนซีน (adenosine) นอกนั้นยังพบสารกลุ่มนิวคลีโอไซค์ (nucleosides) โปรตีน พอลิแซ็กคาไรค์ (polysaccharides) ไขมันสเตอรอคอยล (syerols) วิตามิน แร่ธาตุปริมาณนิดหน่อย เป็นต้น

สรรพคุณถั่งเช่า

  • ช่วยเสริมความสามารถทางเพศ มีฤทธิ์บำรุงกำลังทางเพศ ช่วยทำให้อสุจิแข็งแรก ด้วยเหตุว่าการกินถั่งเช่าจะส่งผลให้มีเลือดไปเลี้ยงอวัยวะสืบพันธุ์มากเพิ่มขึ้น ถั่งเช่าสามารถช่วยเพิ่มปริมาณของสเปิร์มในน้ำอสุจิได้ โดยจากการศึกษาในผู้ชาย 22 คนพบว่าเมื่อใช้ถั่งเช่าเป็นอาหารเสริมแล้ว จำนวนของสเปิร์มในน้ำเชื้อเพิ่มขึ้น 33% ทั้งยังยังลดปริมาณสเปิร์มที่มีความผิดปกติลงได้ถึง 29% แล้วก็เมื่อเรียนเพิ่มอีกก็พบว่าถั่งเช่าสามารถช่วยเพิ่มความอยากทางเพศได้ 66 – 86% ทั้งยังมีคุณสมบัติในการป้องกันรวมทั้งเสริมสร้างลักษณะการทำงานของต่อมหมวกไต แล้วก็เพิ่มช่องทางที่สเปิร์มจะกำเนิดได้
  • ช่วยปรับรูปแบบการทำงานของหัวใจ ถั่งเช่า มีสรรพคุณช่วยปรับให้อัตราการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติได้ ทั้งยังช่วยบรรเทาอาการหัวใจขาดออกซิเจน แล้วก็เพิ่มออกซิเจนให้หัวใจได้
  • สร้างเสริมแนวทางการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ถั่งเช่ามีสรรพคุณช่วยปรับให้ปรุงหลักการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้ปกติ ช่วยให้ร่างกายสร้างเซลล์ภูมิคุ้มกันมากยิ่งขึ้น
  • ต้านมะเร็ง ถั่งเช่าก็ยังมีฤทธิ์ในการต่อต้านโรคมะเร็ง โดยสารคอร์ไดเซปิน (Codycepin) ที่อยู่ในถั่งเช่านับว่าเป็นสารที่มีความสำคัญในการต่อต้านการเกิดโรคมะเร็ง ปกป้องการเกิดและก็การแพร่ไปของเนื้อร้าย
  • ลดไขมันในเลือด ถั่งเช่ามีสรรพคุณควบคุมระดับไขมันในเลือด ลดคอเลสเตอรอล และตรีกลีเซอร์ไรด์ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคภัยอื่นๆ
  • ฟื้นฟูการทำงานของไต สำหรับคนป่วยโรคไตเรื้อรัง การรับประทานถั่งเช่าจะช่วยทุเลาอาการลง และก็ทำให้สุขภาพไตดีขึ้น ทั้งยังยังลดความย่ำแย่ของไตที่เกิดจากสารพิษตกค้างได้
  • สร้างเสริมลักษณะการทำงานของตับ การกินถั่งเช่าเป็นอาหารเสริมจะช่วยลดผลกระทบจากพิษ รวมทั้งปกป้องการเกิดพังทลายพืดในตับ สารต้านอนุมูลอิสระก็ยังเข้าไปทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นแนวทางการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ลดความหลีกเลี่ยงสำหรับเพื่อการกำเนิดโรคเชื้อไวรัสตับอักเสบได้ด้วย
  • บำรุงโลหิต สารที่อยู่ในถั่งเช่าก็ยังช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบโลหิต ทำให้ร่างกายสร้างไขกระดูกมากขึ้นเรื่อยๆซึ่งทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงและเซลล์เม็ดเลือดขาวถูกทำในจำนวนที่เพียงพอต่อสุขภาพ
  • ลดระดับน้ำตาลในเลือด ถั่งเช่านับว่าเป็นสมุนไพรอีกประเภทที่ช่วยลดน้ำตาลได้ โดยมีการเรียนพบว่าการกินถั่งเช่าวันละ 3 กรัม จะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ถึง 95%

รูปแบบและขนาดวิธีใช้ถั่งเช่า

ขนาดบริโภคของผู้ใหญ่ (แก่กว่า 18 ปี) ในวันแล้ววันเล่า ประมาณ 3 – 9 กรัม

การศึกษาทางเภสัชวิทยาของถั่งเช่า

มีรายงานการเรียนรู้ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของถั่งเช่ามากไม่น้อยเลยทีเดียว ทั้งยังฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิต้านทาน ต้านทานโรคมะเร็งเพิ่มประสิทธิภาพแนวทางการทำงานของหัวใจรวมทั้งเส้นเลือดคุ้มครองป้องกันไตและก็ตับ ต่อต้านอนุมูลอิสระ เป็นต้น

  • ฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อให้สารกลุ่มพอลิแซ็กคาไรด์ที่แยกได้จากถั่งเช่าแก่หนูเมาส์โดยฉีดเข้าหลอดโลหิตดำในขนาด 35 มิลลิกรัม/กิโล ตรงเวลา 5 วัน ศึกษาเภสัชจลุกลี้ลุกลนศาสตร์ของสารดังกล่าวในหนูเมาส์ต่อระบบภูมิคุ้มกันเทียบกับกรุ๊ปควบคุม พบว่าสารพอลิแซ็กคาไรด์แต่ละประเภทสามารถเพิ่มประสิทธิสำหรับเพื่อการสนองตอบของระบบภูมิคุ้มกันดรรชนีม้าม (spleen index) ดรรชนีนิไทมัส (thymus index) และเพิ่มประสิทธิภาพการกลืนรับประทานของเซลล์แมคโครฟาจ (macrophages)
  • ฤทธิ์ต้านโรคมะเร็ง เมื่อให้ถั่งเช่าแก่หนูเมาส์ในขนาด 50 มก./กก. พบว่ามีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์ Hela โดยมีอัตราการเติบโต ดัชนีทิคส์ (mitotic) ความรู้ความเข้าใจสำหรับเพื่อการเจริญเติบโตของไขมันส่วนนุ่มต่ำลงยิ่งกว่ากลุ่มควบคุม ตามหน้าที่ที่ถูกทำลายแจ้งชัดที่สุดเป็นนิวเคลียส ยิ่งไปกว่านี้ยังพบว่าถั่งเช่าในขนาด 50 มิลลิกรัม/กิโลกรัม มีฤทธิ์ยั้งเซลล์ของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวหนูเม้าส์ รวมถึงมีฤทธิ์ต้านทานเนื้องอกแล้วก็ยั้งการแพร่กระจายตามธรรมชาติของโรคมะเร็งปอดหนู่เมาส์
  • ผลต่อระบบหัวใจรวมทั้งหลอดเลือด มีรายงานการเรียนรู้ในเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจที่แยกจากกายหนูแรท  โดยใช้เซลล์ myocytes ของหนูแรทแรกเกิด พินิจกลุ่มเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจวาดภาพเซลล์ pollex โดยใช้ตัวแปลงสัญญาณจากแสงพบว่าถั่งเช่าในขนาด 0.66  มก./มล. สามารถชะลออัตราการเต้นของเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ pollex ได้ อีกการทดสอบหนึ่งพบว่าสารสกัด 70% แอลกอฮอล์จากเส้นใยเห็ดของถั่งเช่ามีฤทธิ์เพิ่มการไหลเวียนของเลือดสุนัขที่ถูกสูดดมยาสลบและก็ลดระดับความดันโลหิต
  • ฤทธิ์ป้องกันไต มีรายงานการศึกษาเล่าเรียนในหนูแรทที่ได้รับยาไซโคลสปอริน (cyclosporine) ซึ่งเป็นพิษต่อไตจำพวกกระทันหัน พบว่าถั่งเช่าสามารถลดพิษของยาไซโคลสปอรินที่มีต่อไต และลดพิษของสมุนไพรเหลยกงเถิง
  • ฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ มีกล่าวว่าสารสกัดถั่งเช่ามีฤทธิ์ชะลอความแก่ของหนูถีบจักรที่ถูกเหนี่ยวนำด้วย ดี-กาแล็กโตสโดยถั่งเช่าช่วยเพิ่มความจำในหนูแก่ ทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นรูปแบบการทำงานของตับ สมอง เม็ดเลือดแดง โปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีซุปเปอร์ออกไซด์ดิสไม่วเตส (super oxide dismutase; SOD) และเลือดทั้งผอง ลดระดับเอนโซม์โมโนเอมีนออกซิเดส (malondiadehyde; MDA) ในตับและสมอง

การศึกษาทางพิษวิทยาของถั่งเช่า 

มีรายงานการเรียนรู้ความเป็นพิษของถั่งเช่า พบว่าขนาดสูงสุดของถั่งเช่าที่หนูเมาส์สามารถทนได้คือ 45 กรัม/กิโลกรัม  หรือราว 250 เท่าของขนาดที่ใช้ในคน เมื่อให้สารสกัดถั่งเช่าโดยฉีดเข้าท้องหนูเมาส์  ขนาดที่ทำให้หนูตายจำนวนร้อยละ 5 (LD 50) มีค่าเท่ากับ 27.1 กรัม/กก. เมื่อได้รับยาเกินขนาดจะมีลักษณะเริ่มต้นด้วยการยับยั้งทั่วๆไป และก็ตามด้วยการกระตุ้นทั่วๆไป กระตุก ชัก แล้วก็กดระบบฟุตบาทหายใจ นอกเหนือจากนั้นยังพบว่าถั่งเช่าไม่เป็นพิษต่อตัวอ่อน และไม่มีผลกระทบต่อการเจริญเติบโต ไม่มีฤทธิ์ทำให้กำเนิดเด็กทารกวิรูป ในหนูเมาส์

ข้อแนะนำ ข้อควรระวัง

  • ควรระวังการใช้ในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เนื่องมาจากถั่งเช่ามีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด จะไปเสริมฤทธิ์กับยาลดน้ำตาลในเลือด
  • พึงระวังการใช้ในผู้เจ็บป่วยที่ได้รับยากลุ่มป้องกันการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด เนื่องมาจากถั่งเช่ามีฤทธิ์ต้านการเกาะกรุ๊ปของเกล็ดเลือด
  • พึงระวังการใช้ในผู้เจ็บป่วยที่ได้รับยากดภูมิต้านทาน เนื่องจากถั่งเช่ามีฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน

กระชายดำ ประโยชน์สรรพคุณ และก็งานศึกษาค้นคว้าและทำการวิจัยจุดเด่นข้อตำหนิ

กระชายดำ ประโยชน์สรรพคุณ และงานวิจัยข้อดีข้อเสีย

ชื่อสมุนไพร กระชายดำ

ชื่ออื่นๆ/ ชื่อท้องถิ่น กระชายม่วง , ว่านเพชรดำ , ขิงทราย (มหาสารคาม) , ว่านตะลึง , ว่านพญานกยูง , ว่านว่านกำบัง ,ว่านกำบัง , ว่านกำบังภัย , กะแอน . ระแอน (ภาคเหนือ)

ชื่อวิทยาศาสตร์ Kaempferia parviflora Wallich. ex Baker

ชื่อวงศ์Zingiberaceae

ถิ่นกำเนิดกระชายดำ

มีบ้านเกิดเมืองนอนในเอเซียอาคเนย์ พบได้หนาแน่นในแถบมาเลเซีย เกะสุมาตรา เกาะบอร์เนียว อินโดจีน รวมทั้งในประเทศไทย และมีเขตการกระจายจำพวกทั่วๆไปในทวีปเอเชียเขตร้อน ในประเทศจีนตอนใต้ อินเดีย แล้วก็เมียนมาร์ สำหรับเมืองไทยนั้นมีการปลูกกระชายดำมากมายในจังหวัดเลย ตาก กาญจนบุรี รวมทั้งจังหวัดอื่นๆทางภาคเหนือ

ลักษณะทั่วไปของกระชายดำ

กระชายดำจัดเป็นไม้ล้มลุกแก่ยาวนานหลายปีมีเหง้าอยู่โต้ดิน โดยในแต่ละส่วนมีเนื้อหาดังนี้

  • เหง้ากระชายดำ นั้นมีลักษณะเป็นทรงกลม เป็นปุ่มป่นเรียงต่อกัน รวมทั้งมักมีขนาดเท่าๆกัน มีหลายเหง้าและอวบน้ำ ผิวเหง้ามีสีน้ำตาลอ่อนถึงสีน้ำตาบเข้ม แล้วก็บางทีอาจพบรอยที่ผิวเหง้าเป็นบริเวณที่จะผลิออกของต้นใหม่ ส่วนเนื้อข้างในชองเหง้ามีสีม่วงอ่อน สีม่วงเข้ม ไปจนกระทั่งม่วงดำ เหง้ามีกลิ่นหอมเฉพาะตัว รวมทั้งมีรสชาติขมเล็กน้อย โดยกระชายดำที่ดีนั้นต้องมีสีม่วงเข้มถึงสีดำ
  • ใบกระชายดำ มีใบเป็นใบลำพัง ลักษณะเป็นรูปรีหรือรูปไข่ มีความกว้างประมาณ 5 – 10 เซนติเมตร แล้วก็ยาวราวๆ 10 – 15 เซนติเมตร ปลายใบแหลม ขอบของใบหยักตามเส้นใบ ผิว ในเป็นร่องคลื่นตลอดใบตามแนวของเส้นใบ ใบมีสีเขียวสด ส่วนโคนก้านใบมีลักษณะเป็นกาบห่อลำต้นไว้ ขอบก้านใบมีสีแดงตลอดความยาวของก้าน ศูนย์กลางก้านเป็นร่องลึก
  • ดอกกระชายดำ ดอกออกเป็นช่อแทรกขึ้นมาจากโคนกาบใบ ก้านช่อดอกมีความยาวราวๆ 5 – 6 เซนติเมตร กลีบที่ส่วนโคนเชื่อมเป็นหลอด ยาวโดยประมาณ 3 - 3.2 เซนติเมตร ที่ปลายแยกเป็นแฉก เกสรตัวผู้เป็นหมัน มีสีขาว ลักษณะเป็นรูปขอบขนาด มีความกว้างราว 3 มิลลิเมตร แล้วก็ยาวโดยประมาณ 10 -13 มม. ส่วนกลีบปลายมีสีม่วง

การขยายพันธุ์กระชายดำ

แพร่พันธุ์โดยการใช้หัวหรือแยกหน่อ ปลูกได้ทั้งปี แต่ฤดูที่สมควรอยู่ในระหว่างเดือนมีนาคม – เดือนพฤษภาคม การเตรียมหัวกระชายดำสำหรับปลูก หัวกระชายดำหัวหนึ่งจะมีหลายแง่ง ให้บิ (หัก) ออกมาเป็นแง่งๆหากแง่งเล็กก็ 2 – 3 แง่ง ถ้าแง่งใหญ่สมบูรณ์ก็แค่แง่งเดียวก็เพียงพอ เพราะเหตุว่าเมื่อกระชายดำโตขึ้น กระชายดำก็จะแตกหน่อ และเกิดหัวกระชายดำหัวใหม่ขึ้นมาแทน แล้วก็จะขยายหัวรวมทั้งหน่อออกไปเรื่อยจะมากมายหรือน้อยขึ้นอยู่กับการดูแลและรักษา ส่วนหัวหรือแง่งที่ใช้ปลูกเอาไว้ในช่วงแรกที่เหี่ยวเฉาและก็แห้งไปท้ายที่สุด ก่อนนำไปปลูก ควรทารอยแผลของแง่งกระชายดำที่ถูกหักมาด้วยปูนรับประทานหมาก หรือจะจุ่มน้ำยากันเชื้อราก็ได้ แล้วผึ่งในที่ร่มจนถึงหมดหรือแห้ง แล้วหลังจากนั้นก็ให้นำไปปลูก การปลูกกระชายดำก็อย่างกับการปลูกกระชายธรรมดาโดยธรรมดา สามารถปลุกก้าวหน้าในดินร่วนซุย การระบายน้ำดี แต่ว่าระวังไม่ให้อุทกภัยขัง เพราะจะทำให้หัวหรือเหง้าบูดเน่าได้ง่ายส่วนในดินเหนียว รวมทั้งดินแดงไม่ค่อยจะสมควรนัก โดยธรรมชาติและก็กระชายดำขอบขึ้นตามร่มไม้ในป่าดงดิบ แล้วก็ป่าเบญจพรรณทั่วๆไป แต่ว่าในก็สามารถปลูกได้

องค์ประกอบทางเคมีของกระชายดำ

ข้อมูลทางด้านวิทยาศาสตร์พบว่า ในเหง้ากระชายดำมีน้ำมันหอมระเหยแม้กระนั้นเจอในจำนวนน้อย (ราวร้อยละ 1 – 3) น้ำมันหอมระเหยของกระชายดำประกอบด้วยสารเคมีหลายแบบ ดังเช่นว่า 1.8-cineol,camphor, d-borneol และ methyl cinnamate น้ำมันหอมระเหยที่พบส่วนน้อย ยกตัวอย่างเช่น d-pinene, zingiberene , zingiberone, curcumin รวมทั้ง zedoarin ยิ่งกว่านั้น ยังพบสารอื่น เช่น กรุ๊ปไดไฮโดรซาลโคน pincocembrin และกล่มุซาลโคน (อย่างเช่น 2 , 4 , 6-trihydroxy chalcone แล้วก็ cardamonin)(ณาตยา ธนะศรีวัฒนา, สุนิดาในตะกั่วทุ่ง, ธนนันต์ ฐานะจาโร,2540)

สูตรโครงสร้างทางเคมีสารกลุ่ม chalconeที่มา Rein (2005)

สูตรส่วนประกอบทางเคมีสารกรุ๊ป Anthocyanin

ที่มา Castaneda-Ovando et al. (2009)

คุณประโยชน์กระชายดำ

ใช้ชูกำลัง แก้ปวดเมื่อยและก็อาการล้า รวมทั้งเพิ่มสมรรถนะทางเพศขับลม เป็นยาอายุวัฒนะ แก้จุกเสียด แก้เจ็บท้อง หรือโขลกกับเหล้าขาวคั้นน้ำ แก้โรคมดลูกทุพพลภาพ มดลูกหย่อนยาน ใช้ปัดกวาดคอเด็ก แก้โรคตานซางในเด็ก หรือต้มดื่มแก้โรคตา ช่วยบำรุงรักษาฮอร์โมนเพศชาย แก้กามตายด้าน ด้วยการใช้เหง้ากระชายดำสดนำมาดองกับเหล้าขาวแล้วก็น้ำผึ้งแท้ (ในอัตราส่วน 1 กิโล : เหล้าขาว 3 ขวด : น้ำผึ้ง 1 ขวด) ดองทิ้งเอาไว้ราว 9 – 15 วัน แล้วประยุกต์ใช้ดื่มวันละ 1 – 2 เป๊ก (กระชายดำไม่ได้เป็นยาเร้าอารมณ์ทางเพศ แต่ว่าช่วงเวลาการแข็งตัวนานขึ้น แล้วก็สำหรับผู้ที่ไม่ได้มีปัญหาดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นก็สามารถรับประทานเพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแรกขึ้นได้)แม้คุณผู้หญิงทานแล้วจะสามารถช่วยในการปรับสมดุลของฮอร์โมนทางเพศ ช่วยกระตุ้นระบบประสาท ทำให้ร่างกายกระฉับกระเฉง ช่วยสำหรับการนอนหลับ แก้อาการนอนไม่ค่อยหลับในช่วงเวลากลางคืน ช่วยให้นอนหลับ

รูปแบบ , ขนาดวิธีการใช้

สำหรับวิธีการใช้กระชายดำเพื่อเป็นยาอายุวัฒนะ ใช้เป็นยาแก้ปวดท้อง แก้โรคบิด และก็ลมป่วงทุกประเภท

  • ถ้าเกิดเป็นเหง้าสด ให้ใช้ประมาณ 4 – 5 เอามาดองกับเหล้าขาว 1 ขวดก่อนเอามากินเป็นมื้อเย็น ในปริมาณ 30 cc. หรือ จะฝานเป็นแว่นบางๆแช่กับน้ำ หรือเอามาดองกับน้ำผึ้งในอัตราส่วน 1:1
  • ถ้าเกิดเป็นเหง้าแห้งก็ให้ใช้ดองกับน้ำผึ้งในอัตราส่วน 1 ต่อ นาน 7 วัน แล้วประยุกต์ใช้ดื่มก่อนนอน
  • ถ้าเป็นแบบชงหรือแบบผง ให้ใช้ผงแห้ง 1 ซอง ชงกับน้ำร้านค้า 1 แก้ว (ขนาน 120 cc.) รวมทั้งแต่งรสด้วยน้ำผึ้งหรือน้ำตาลตามความอยากได้ แล้วเอามาดื่ม

การเล่าเรียนทางเภสัชวิทยาของกระชายดำ

  1. ฤทธิ์ต้านทานอักเสบ สาร 5,7 – ได้การบูชายัญอกซีฟลาโอ้อวดน (5,7-DMF) ที่แยกได้จากเหง้ากระชายดำ มีฤทธิ์ต้านการอักเสบเปรียบเทียบได้กับยามาตรฐานหลายแบบเป็นแอสไพริน , อินโดความฉลาดซิน , ไฮไดรคอร์ติโซน รวมทั้งเพรดนิโซโลน จากการศึกษาฤทธิ์ต้านอักเสบของสารนี้ ในสัตว์ทดลองด้วยแนวทางต่างๆพบว่าสาร 5,7-DMF สามารถต้านทานการอักเสบแบบฉับพลันได้ดีมากยิ่งกว่าแบบเรื้อรัง โดยแสดงฤทธิ์ยับยั้งการบวมของอุ้งเท้าหนูขาวจากสารติดอยู่ราจีนแนน แล้วก็เคโอลินได้ดีมากว่าฤทธิ์ยั้งการผลิต granuloma จากการฝังสำลีใต้ผิวหนัง ยิ่งกว่านั้น พบว่า สาร 5,7-DMF มีฤทธิ์ยับยั้งการเกิด exudation แล้วก็การสร้างสาร prostaglandin อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบในช่องปอดของหนูขาว (rat pleurisy) (ตระกูลวิวัฒน์ ทัศนียกุล และสุกใส ปั้นทอง,2528)
  2. ฤทธิ์ต้านทานเชื้อจุลินทรีย์ สาร 5,7,4'-trimethoxyflavone และก็ 5,7,3' ,4' –tetramethoxyflavone แสดงฤทธิ์ต่อต้านเชื้อ Plasmodium falciparum ที่เป็นต้นเหตุของโรคมาลาเรีย ส่วนสาร 3,5,7,4'-tetramethoxyflavone แล้วก็ 5,7,4'-trimethoxyflavone แสดงฤทธิ์ต้านทานเชื้อ Candida albicans รวมทั้งแสดงฤทธิ์ต้านทานเชื้อ Mycobacterium อย่างอ่อน (Wattanapitayakui S, Nawinprasert A, Herunsalee A, et al,2003)
  3. พิษต่อเซลล์ของโรคมะเร็ง (cytotoxic activity) จากการทดลองผลของฟลาโวนอยด์ 9 จำพวกของกระชายดำต่อเซลล์มะเร็ง ได้แก่ KB , BC หรือ NCI-H187 ไม่พบว่ามีสารใดส่งผลให้เกิดพิษต่อเซลล์ของโรคมะเร็งที่ทดสอบ (ตระกูลพัฒนา ทัศนียกุล รวมทั้งอำไพ ปั้นทอง,2528)
  4. ฤทธิ์ขยายหลอดเลือดแดง มีรายงานการวิจัยว่า สารสกัดด้วยเอธานอลของกระชายดำมีฤทธิ์ขยายหลอดเลือดแดงใหญ่ (aorta) ละลดการยุบเกร็งของ ลำไส้เล็กส่วนปลาย (ileum) ของหนูขาว และก็ยับยั้งการยึดกรุ๊ปของเกล็ดเลือดของคน.(Yenchai C, Prasaphen K, Doodee S, et al,2004)

การศึกษาเล่าเรียนทางพิษวิทยา

การเรียนพิษเรื้อรังระยะเวลา 6 เดือน ของผงกระชายดำในหนูขาว ในขนาด 20 , 200 , 1000 รวมทั้ง 2000 มก/กก./วัน เทียบกับกลุ่มควบคุมที่ได้รับน้ำ พบว่า หนูที่ได้รับกระชายดำทุกกรุ๊ปมีน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น อาการและก็สุขภาพไม่ได้ต่างอะไรจากกลุ่มควบคุมหนูที่ได้รับกระชายดำขนาด 2000 มก/กก. มีน้ำหนักสัมพันธ์ของตับสูงยิ่งกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ อาจเพราะว่ามีน้ำหนักตัวที่ต่ำกว่ากลุ่มควบคุม รวมทั้งมีเม็ดเลือดขาวอิโอสิฟิสที่ได้รับกระชายดำ 2000 มก./กิโลกรัม มีระดับซีรั่มโซเดียมสูงขึ้นยิ่งกว่ากลุ่มควบคุมอย่างเป็นจริงเป็นจังแม้กระนั้นยังอยู่ในตอนค่าปกติ ผลของการตรวจอวัยวะทางจุลพยาธิวิทยานั้นไม่เจอการเปลี่ยนแปลงที่บ่งชี้ว่ากำเนิดความเป็นพิษของกระชายดำ (ทรงพล ชีวะพัฒน์, ณุฉัตรา จันทร์สุการค้า, ปราณี ชวลิตธำรง รวมทั้งแผนก.2547)

ข้อแนะนำ /{ข้อควรระวัง

  • กระชายดำสามารถกินได้อีกทั้งหญิง แล้วก็ชายโดยไม่เกิดผลข้างๆอะไรก็แล้วแต่ยิ่งสำหรับผู้สูงวัยก็พบว่านิยมใช้กันมานานมากแล้ว
  • ผลข้างเคียงของกระชายดำ การกินในขนาดสูง อาจจะเป็นผลให้เกิดอาการใจสั่นได้
  • ห้ามใช้กระชายดำในเด็ก แล้วก็ในผู้เจ็บป่วยที่เป็นโรคตับ
  • การรับประทานเหง้ากระชายดำต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน อาจจะเป็นผลให้เหงือกร่น
  • แม้ว่าจะมีงานค้นคว้าในสัตว์ทดสอบที่กล่าวว่ากระชายดำไม่พบว่ามีความเป็นพิษ แต่ยังไม่มีรายงานการศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยเพื่อประเมินประสิทธิผล ของการใช้กระชายดำในคนจึงควรรับประทานในจำนวนที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดความปลอดภัย
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ประโยชน์กระชายดำ

ถิ่นเกิดเเละที่มาสมุนไพรกวาวเครือเเดง

กวาวเครือแดง ประโยชน์สรรพคุณและงานวิจัยข้อดีข้อเสีย

ชื่อสมุนไพร  กวาวเครือแดง
ชื่อประจำถิ่น  กวาวเครือ (เหนือ)   จานเครือ  (อีสาน)   ตานจอมทอง  (ชุมพร)  โพตะกุ , โพมือ  (กะเหรี่ยง)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Butea superba  Roxb
ชื่อวงศ์  Leguminosae  วงค์ย่อย   Papilonaceae

ถิ่นกำเนิดกวาวเครือเเดง

พบอยู่มากมายในรอบๆที่ราบเชิงเขา แล้วก็ ตีนเขาป่าเต็งรัง  ภูเขาหินปูน  ในบริเวณที่มีต้นไม้ใหญ่ไม่หนาแน่นนัก  พบได้ทั่วไปอยู่เป็นกรุ๊ปๆข้างในป่า  อาจเป็นเพราะเนื่องจากต้นเหตุ หมายถึง ติดฝักได้น้อย  ฝักมีขนาดใหญ่ ทำให้แพร่กระจายตำแหน่งเดิมได้ยาก  ต้นกวาวเครือแดง ที่สร้างพุ่มไม้เอง จะมีลักษณะเตี้ย  ส่วนต้นที่เกี่ยวพันกับต้นไม้ใหญ่จะแตกกิ่งไปถึงยอดไม้

ลักษณะทั่วไปของกวาวเครือแดง

กวาวเครือแดงอยู่ในจำพวกไม้เลื้อย เป็นเถาวัลย์ เนื้อแข็ง มักชอบพาดขึ้นกับต้นไม้ใหญ่

  • ใบกวาวเครือแดง ใบใหญ่คล้ายใบต้นทองคำกวาว  แต่ใบใหญ่กว่า
  • ดอกกวาวเครือแดง ดอกใหญ่คล้ายดอกแคแสด  แต่เป็นพวงระย้าเสมือนดอกทองกวาว
  • หัวกวาวเครือแดง มีหลายขนาดลักษณะทรงกระบอก เมื่อสะกิดที่เปลือก จะมียางสีแดง คล้ายเลือดไหลออกมา
  • รากกวาวเครือแดง มีรากกิ้งก้านขนาดใหญ่  แยกจากเหง้าเลื้อยไปรอบๆหลายเมตร 

การขยายพันธุ์กวาวเครือแดง ทำได้ 3วิธีดังนี้|ดังต่อไปนี้

  • การเพาะเมล็ด โดยการเพาะเม็ดในกระบะเถ้าแกลบโดยประมาณ 45 วัน นำต้นกล้าที่ได้ ปลูกลงถุงเพาะชำโดยใช้ดิน 2 ส่วน เถ้าแกลบ 1 ส่วน เปลือกมะพร้าว 1 ส่วน ค่า pH ราว 5.5 เมื่อต้นกล้าเจริญวัยได้ 60 วัน จึงนำลงแปลงปลูกที่โล่งแจ้ง  โดยการทำด้วยไม้ไผ่  หรือปลูกร่วมกับไม้ยืนต้นในกระบวนการเกษตร ดังเช่นว่า ไผ่  สัก  ปอสา  หรือไม้ผลอื่นๆ พื้นที่ปลูกควรจะอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล  300-900 เมตร
  • การปักชำ นำเถาที่มีข้อมาปักชำในกระบะ หรือถุงที่ใส่เถ้าแกลบ  เมื่อเถาแตกรากรวมทั้งยอดแข็งแรงดีแล้ว จึงนำลงแปลงปลูกถัดไป
  • การแบ่งหัวต่อต้น หัวของกวาวเครือ ไม่มีตาที่จะแตกเป็นต้นใหม่  ควรต้องใช้ส่วนของลำต้นมาต่อเชื่อตามแนวทางการแพร่พันธุ์แบบต่อราก  เลี้ยงกิ่ง (nursed root grafting)  สามารถนำหัวกวาวเครือขนาดเล็ก อายุราว 6 ข้างขึ้นไป  และก็ต้นหรือเถาที่เคยทิ้งไปหลังการเก็บเกี่ยวมาขยายพันธุ์ได้ หลังการต่อต้นโดยประมาณ 45-60 วัน ก็สามารถนำลงปลูกได้ และมีจุดเด่นก็คือสามารถต่อต้นกับหัวผ่านสายพันธุ์ได้

องค์ประกอบทางเคมีของกวาวเครือแดง

            ส่วนหัวของกวาวเครือแดงมีสารไฟโตแอนโดรเจน รวมทั้งไอโซฟลาโวลิกแนน 2 จำพวก ตัวอย่างเช่น Mebicarpin (carpin 3-hydroxy-9methoxypterocarpan); สารกรุ๊ปฟลาโวนอยด์ เช่น butenin; formononetin (7-hydroxy_-methoxy-isoflavone); (7,4_-dimethoxyisoflayone); 5,4_-dihydroxy-7-methoxy-isoflavone, 7-hydroxy-6,4_-dimethoxyisoflavone

แอนโทไซยานินมีค่าการดูดกลืนแสงในตอนคลื่น  510-540นาโนเมตร  สารละลายแอนโทไซยานินมีความเคลื่อนไหวสีตามค่าความเป็นด่าง (pH) ต่ำจะมีสีแดง pH ปานกลางจะมีสีน้ำเงินม่วงและก็เมื่อ pH สูงจะมีสีเหลืองซีดเผือด

สรรพคุณกวาวเครือแดง

  • หัวกวาวเครือแดง รสเย็นเบื่อเมา  บำรุงเนื้อหนังให้เต่งตึง  บำรุงสุขภาพ  เพิ่มน้ำอสุจิ เป็นยาอายุวัฒนะ

แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย

  • รากกวาวเครือแดง แก้ลมอัมพาต  บำรุงเลือด  ผสมกับรากสมุนไพรอื่นอีก 8 ประเภทเรียกว่า  พิกัดนวโลหะ  แก้โรคลมที่เป็นพิษ  แก้ริดสีดวง  ทำลายพยาธิ  ดับพิษ  ถอนพิษไข้  สมานลำไส้
  • เปลือกเถากวาวเครือแดง รสเย็นเบื่อเมา  แก้พิษงู

ผลดีกวาวเครือแดง

ฤทธิ์ต่อระบบสืบพันธุ์  การเล่าเรียนในอาสาสมัครผู้ชาย 17 คน อายุระหว่าง 30 – 70 ปี ที่มีลักษณะหย่อนยานสมรรถนะทางเพศอย่างน้อย 6 เดือน  ให้รับประทานกวาวเครือแดงขนาด 250 มิลลิกรัม/แคปซูล วันละ 4 แคปซูล ตรงเวลา 3 เดือน ผลการศึกษาเรียนรู้และค้นคว้ารวมทั้งการวิจัยพบว่าระดับฮอร์โมน testosterone ไม่ได้ต่างอะไรจากกรุ๊ปควบคุม  แม้กระนั้นผลจาการตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับดัชนีชี้วัดสมรรถภาพทางเพศ  จากอาสาสมัครพบว่าทำให้สมรรถภาพทางเพศดียิ่งขึ้น  82.4 % ฉะนั้น กวาวเครือแดงก็เลยช่วยฟื้นฟูคนป่วยโรคเสื่อมความสามารถทางเพศได้ และไม่พบการเกิดพิษ

รูปแบบและขนาดวิธีใช้กวาวเครือแดง

องค์การอาหารแล้วก็ยาของไทย  ระบุขนาดและก็การใช้ในการกินกวาวเครือแดง  ไม่เกิน  2 มิลลิกรัม  ต่อน้ำหนักตัว  1  กิโลกรัม  ต่อวัน

การศึกษาทางเภสัชวิทยาของกวาวเครือแดง

ฤทธิ์ต่อระบบแพร่พันธุ์  การทดสอบป้อนกวาวเครือแดงในรูปผงป่นละลายน้ำ  รวมทั้งสารสกัดเอทานอล  ให้แก่หนูแรทเพศผู้  ความเข้มข้น 0.25 , 0.5 และก็ 5 มก./มล.  พบว่าหนูแรทที่ได้รับผงกวาวเครือแดงแบบละลายน้ำเข้มข้น 0.5 แล้วก็ 5 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร ตรงเวลา  21  วัน  ทำให้น้ำหนักตัวของหนูแรท  แล้วก็ปริมาณสเปิร์มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ  รวมทั้งหนูแรทที่ได้รับสารสกัดเอทานอลเข้มข้น 5 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร 224 ชั่วโมง มีน้ำหนักสัมพัทธ์ของ seminal  vesicles ต่อมลูกหมาก  แล้วก็ความยาวขององคชาติ  นำมาซึ่งการทำให้หนูแรทมีความประพฤติปฏิบัติการสิบจำพวกมากขึ้นเรื่อยๆ  เมื่อศึกษาต่อไปถึงระยะ 42 วัน พบว่าหนูแรทที่ได้รับผงกวาวเครือแดงแบบละลายน้ำ มีน้ำหนักสัมพัทธ์ของ seminal  vesicles ต่อมลูกหมาก รวมทั้งความยาวขององคชาติ  แล้วก็ความประพฤติปฏิบัติการสืบพันธุ์มากขึ้นเรื่อยๆ  แม้กระนั้นหนูกรุ๊ปที่ได้รับสารสกัดเอทานอล  กลับมีน้ำหนักสัมพัทธ์ของ seminal  vesicles  น้อยลง  การเรียนรู้ผลของกวาวเครือแดงในระยะยาว  และก็ในจำนวนสารสกัดที่มากขึ้น  พบว่าทำให้ระดับฮอร์โมน testosterone ของหนูแรทลดน้อยลง  และจำนวนเอนไซม์ตับสูงมากขึ้น  เพราะฉะนั้นการรับประทานกวาวเครือแดงมากจนเกินไป อาจจะทำให้กำเนิดพิษต่อตับได้

การศึกษาทางพิษวิทยากวาวเครือแดง

การเรียนพิษครึ่งหนึ่งเรื้อรังในหนูวิสตาร์เพศผู้โดยป้อนผงกวาวเครือแดงในขนาด 10 , 100 , 150 แล้วก็ 200  มิลลิกรัม/กก/วัน  ตรงเวลา 90 วัน  พบว่าหนูที่รับในขนาด   150  มก./กก/วัน  น้ำหนักของม้ามมากขึ้น ระดับโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี alkalinephosphatase (ALP) และ aspartate aminotransferase (AST) เพิ่มขึ้น หนูที่ได้รับขนาด 200 มิลลิกรัม/กก/วัน พบว่ามีเม็ดเลือดขาวประเภท neutrophil ลดน้อยลง ส่วนเม็ดเลือดขาวชนิด eosinophil ระดับ serum creatinine  ต่ำลงระดับฮอร์โมน testosterone ลดน้อยลง โดยเหตุนั้นจำเป็นต้องรอบคอบการใช้ในขนาดสูงเนื่องจากอาจจะทำให้กำเนิดอาการอันไม่ปรารถนาต่างๆได้

ข้อแนะนำข้อควรระวัง

พืชประเภทนี้มีฤทธิ์เป็นยา เหมือนกับกวาวเครือขาว แต่ว่าเป็นพิษมากยิ่งกว่า  ถ้าหากกินมากมายอาจก่อให้เกิดอันตรายได้อาจก่อให้มึนเมาคลื่นไส้อาเจียน.และมีพิษเมามากกว่ากวาวเครือขาว

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : สรรพคุณกวาวเครือเเดง

กวาวเครือขาว ผลดีสรรพคุณ รวมทั้งงานศึกษาค้นคว้าและทำการวิจัยข้อดีจุดบกพร่อง

กวาวเครือขาว ประโยชน์สรรพคุณ และก็งานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยจุดเด่นข้อเสีย
กวาวเครือขาว คุณประโยชน์กวาวสรรพคุณ และงานวิจัย
ชื่อสมุนไพร กวาวเครือขาว
ชื่ออื่นๆ/ ชื่อประจำถิ่น กวาวเครือ , จานเครือ (อีสาน) ,ตานเครือ , ทองนอกรือ , จอมทอง , (ใต้) ตานจอมทองคำ (จังหวัดชุมพร) โพ้ต้น ( จังหวัดกาญจนบุรี) .โพะตะเรา
ชื่อวิทยาศาสตร์ Pueraia candollei Graham ex Benth. Var mirifica
ชื่อตระกูล Leguminosae-Papilionoideae

บ้านเกิดเมืองนอน
กวาวเครือขาวเป็นพืชที่ขึ้นบริเวณป่าเบญจพรรณ พบกระจากทั่วไปตั้งแต่ อินเดีย กรุ๊ปประเทศอินโดจีน มาเลเซีย อินโดนีเซีย จีน ญี่ปุ่น และก็ ไทย สำหรับในประเทศไทย พบกระจากในป่าเบญจพรรณในภาคเหนือ ภาคตะวันตก แล้วก็ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แม้กระนั้นจะพบได้มากในภาคเหนือของไทย โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีอินทรีย์สารสูงตามชายป่า ดินที่มีค่าความเป็นกรดเป็นด่างโดยประมาณ 5.5 ที่สูงจาก

ระดับน้ำทะเล 300 – 800 เมตร ในภาวะธรรมชาติมีการตะกร้าพันธุ์ด้วยเมล็ด โดยทั้งนี้พบว่าจะมีการออกดองช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงมี.ค.และก็ติดฝักในเมษายน สามารถพบกวาวเครือขาวพันอยู่กับต้นไม้ใหญ่โดยเฉพาะต้นสักในจังหวัดกาญจนบุรี ตาก ลำปาง จังหวัดเชียงใหม่ ในรอบๆที่เป็นป่าไผ่ในจังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดสระบุรี จังหวัดลพบุรี ชัยภูมิ พบว่ามีกวาวเครือขาวกระจากจำพวกอยู่ได้ดีเหมือนกัน
ลักษณะทั่วไปของกวาวเครือขาว
กวาวเครือขาวเดินถูกให้มีชื่อทางด้านวิทยาศาสตร์ว่า Butea superba Roxb. เป็นพืชเชื้อสายถั่ว ขึ้นในป่าเบญจพรรณ ลักษณะเป็นไม้เถาเนื้อแข็งขนาดใหญ่ ผลัดใบ เลื้อยพาดพันบนต้นไม้เปียกชื้น
ลำต้นสะอาด บางทีอาจยาวถึง 5 เมตร ใบเป็นในประกอบ มีใบย่อย 3 ใบ (Pinnately trifoliate) เรียงสลับกันปลายใบมีลักษณ์รูปไข่ปลายแหลม เนื้อใบข้างบนหมดจดข้างล่างมีขนสั้นๆห่างๆเส้นแขนงใบข้างละ 5 – 7 เส้น ใบย่อยด้านข้างโคนมีลักษณะเบี้ยว หูใบรูปไข่ มีเยื่อก้านใบมองเห็นชัดเจน ใบตกแต่งมีลักษณะเป็นเกล็ดมีขนาดเล็กมากมาย
ดอกออกในระยะผลัดใบ เป็นช่อยาวประมาณ 30 เซนติเมตร ดอกจะออกตามาซอกกิ่ง ข่อดอกเป็นข่อผู้เดียวและช่อแยกกิ้งก้านออกปลายกิ่ง ดอกมีกลีบตกแต่งรองรับ ดอกย่อยเป็นรูปถั่วเป็นดอกบริบูรณ์เพศมีทั้งสิ้นศผู้รวมทั้งเพศภรรยาในดอกเดียวกัน ทรงดอกเป็นแบบ Zygomorphic แบบที่เรียกว่า Papilionacaceous form ดอกมีกลีบดอกไม้ 5 กลีบ ที่มีขนาดและก็ลักษณะแตกต่าง กลีบที่อยู่นอกสุดมีขนาดใหญ่สุด เรียกว่ากลีบ Standard กลีบที่เกาะติดอยู่ทางด้านข้างทั้งสอง มีลักษณะคล้ายกัน คืองอนโค้งคล้ายปีกนกเรียกว่า กลีบ wing กลีบที่อยู่ด้านในสุด 2 กลีบ จะเชื่อมรวมกันเป็นกระพุ้งคล้ายท้องเรือ เรียกว่า กลีบ (keel) เป็นกลีบที่ห่อเกสรไว้ มีก้านยกอับเรณูชิดกัน ดอกมีสีฟ้าอมม่วงถึงสีน้ำเงิน 2 – 3 ดอกต่อช่อ มีเกสรตัวผู้ 10 อัน รังไข่ยาวเป็นแบบ superior ข้างในมี 1 ห้องมีเม็ดไข่อยู่ภายใน
ฝักมีลักษณะแบน เมื่อแก่มีสีออกน้ำตาล ผิวมีขนสั้นๆประปรายถึงสะอาด ฝักมีความกว้างราวๆ 7 มิลลิเมตร ยาวราวๆ 3 ซม. มีเม็ด 3 – 5 เม็ดต่อฝัก เม็ดมีลักษณะกลมมีเส้นผ่าศูนย์กลาง ราว 2 – 4 เซนติเมตร เม็ดแก่จะมีลายสีเขียวปนม่วง หรือ สีน้ำตาลปนม่วง
หัวเป็นหัวใต้ดินเหมือนหัวมันแกว (Tiberous root) จะมีฤทธิ์ทางยามากในตอนที่ผลัดใบ มีหลายขนาด หัวที่มีอายุมากมีขนาดใหญ่ อาจมีน้ำหนักสูงถึง 20 กก. ที่เปลือก เมื่อเอามีดปาดจะมียางสีขาวคล้ายน้ำนม เนื้อในสีขาวคล้ายมันแกว เนื้อจะเปราะ มีเส้นมากมาย รสเย็นเบื่อเมา หัวที่ยังเล็ก เนื้อในจะละเอียด มีน้ำมากมาย
การขยายพันธุ์กวาวเครือขาว
เพาะพันธุ์โดยการปลูกแบบเพาะเม็ด โดยอาจเริ่มต้นโดยการสร้างต้นจำพวกจากเมล็ดหรือโดยวิธีอื่น การสร้างต้นพันธุ์จากเม็ดต้องรอเก็บเม็ดในช่วงต้นถึงกึ่งกลางหน้าร้อน ด้วยเหตุว่ากวาวเครือขาวออกดอกติดฝักในตอนกลางฤดูหนาวจนกระทั่งกลางหน้าร้อน แหล่งกำเนิดของเมล็ดคือต้นกวาวเครือขาวที่อยู่ในป่า แกะเม็ดออกมาจากฝัก เก็บเอาไว้ภายในที่แห้งหรือในภาชนะที่มีการระบายอากาศได้ ทำการเพาะเม็ดในกระบะใส่ดินผสมปุ๋ยธรรมชาติโดยให้เม็ดถูกฝังกลบไว้ลึกราว 1 เซนติเมตร รดน้ำให้ชุ่มทุกวี่ทุกวัน แนะนำให้กระทำเพาะเมล็ดในช่วงที่อากาศร้อนจัดที่สุด ความร้อนจะช่วยให้เมล็ดผลิออกได้ง่ายขึ้น โดยปกติเมล็ดที่เก็บจากฝักที่แห้งติดอยู่ต้นแล้วนำมาเพาะในปีนั้นจะมีอัตราการงอกแทบ 100% เมล็ดที่ถูกเก็บไว้ผ่านปีจะมีอัตราแตกหน่อน้อยลง
องค์ประกอบทางเคมี
หัวกวาวเครือขาวมีสารที่เป็นประโยชน์อยู่อีกหลายประเภทรวมถึงสารที่ออกฤทธิ์เหมือนฮอร์โมน เอสโตรเจน นอกเหนือจากนี้ยังเจอข้อมูลทางด้านโภชนาการดังต่อไปนี้




________________________________________
ส่วนประกอบ จำนวน (เปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนักแห้ง)
________________________________________
พลังงานจากไขมัน 5.85 แคลอรีต่อ 100 กรัม
คาร์โบไฮเดรตรวม 67.66
ไฟเบอร์รวม (dietary Fiber) 20.39
น้ำตาลรวม (Total Sugar) 19.35
คาร์โบไฮเดรต อื่นๆ 27.92
โปรตีน 7.88
ไขมัน 0.66
แคลเซี่ยม 7.56
เหล็ก 0.029
พลังงานรวม 308.01 แคลอรีต่อ 100 กรัม
________________________________________

ส่วนประกอบทางเคมีของหัวกวาวเครือขาว (Pueraria mirifica)
ที่มา : ชาลีและก็วันชัย (2544)

ส่วนสาระสำคัญกรุ๊ปต่างๆ
ที่เจอในกวาวเครือขาวสามารถแบ่งเป็นกรุ๊ปๆได้ดังนี้
7.1 สารกลุ่มคูมารินส์ (Coumarins)
ดังเช่นว่า Coumestrol, Mirificoumestan, Mirificoumestan Glycol และก็ Mirificoumestan hydrate

สูตรส่วนประกอบทางเคมีของ Coumestrol
ที่มา : สุนิสา (2552)

สูตรองค์ประกอบทางเคมีของ Mirificoumestam
ที่มา : สุนิสา (2552)

7.2 สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (Flavonoids)
โดยในหัวกวาวเครือขาวมีสารพวก lsoflavonoid หลายชนิด ได้แก่ Genistain, Daidzein, Daidzin, Puerarin, Puerein-6-monoacetate, Mirificin, Kwakhurin รวมทั้ง Kwakhurin hydrate

Genistein : R1 = H , R2 = OH
Daidzein : R1 = H , R2 = H
Puerarin : R1 –Glucose, R2 = H
Mirificin : Glucose – Apiose , R2 = E
สูตรส่วนประกอบทางเคมีของสารกลุ่ม Flavonoids
ที่มา : สุนิสา (2552)
7.3 สารกลุ่มโครมีน (Chromene)
สาระสำคัญลำดับแรกๆในกวาวเครือ อย่างเช่น Miroestrol ซึ่งเป็นสารที่มีแถลงการณ์ว่ามีฤทธิ์เหมือนเอสโตรเจน พบปริมาณ 0.002 – 0.003 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักหัวแห้ง หรือราวๆ 15 มก.ต่อกิโลกรัมของกวาวเครือแห้ง มีรูปผลึก 2 แบบเป็นแบบที่มีน้ำหนักอยู่ในผลึก (hydrate form) ลักษณะเป็นรูปเข้มอ้วน แล้วก็แบบผลึกที่ไม่มีน้ำอยู่ในผลึก (anhydrate form) มีลักษณะเป็นแผ่น ไม่มีสี มีจุดหลอมเหลว 268 – 270 องศาเซลเซียส

สูตรส่วนประกอบทางเคมีของ Miroestrol
ที่มา : สุนิสา (2552)

7.4 สารกรุ๊ปสเตียรอยด์ (steroids)
สเตียรอยด์ที่เจอในหัวกวาวเครือ ได้แก่ B-sitosterol, Stigmasterol, Pueraria และก็ Mirificasterol
7.5 สารประกอบอื่นๆ
เว้นเสียแต่สารกรุ๊ปที่กล่าวแล้วข้างต้น ในหัวกวาวเครือขาวยังมีสารประเภทแอลเคน แอลกอฮอร์และก็สารจำพวกไขมัน คือ Puereria, Mififica glyceride lithium, Potassium, Sodium, Phosphate, แคลเซียม, โปรตีน, ไขมัน, แล้วก็ไฟเบอร์ นอกนั้นยังมีสารจำพวก Saponim อยู่อีกหลายแบบ
ซึ่งสารต่างๆกลุ่มนี้หลายชนิดมีคุณสมบัติเป็นไฟโตเอสโตรเจน (phytoestrogen) ซึ่งมีความหมายว่าเป็นเอสโตรเจนที่ได้จากพึชแล้วก็ออกฤทธิ์เช่นเดียวกับฮอร์โมนเอสโตรเจนทุกอย่าง หรืออาจคือสารที่ออกฤทธิ์ที่ตัวรับ (Receptor) เดียวกับฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งตอนนี้ทราบแล้วว่า receptor นี้มี 2 Subtypeหมายถึงestrogen receptor alpha รวมทั้ง beta subtype ตอนนี้ไฟโตเอสโตรเจนที่มีอยู่ในกวาวเครือขาวสามารถแบ่งได้สารที่มีความแรงสูงรวมทั้งความแรงต่ำ โดยกลุ่มที่มีความร้ายแรงต่ำ ดังเช่นว่า Coumestrol, Daidzein, Daidzin, Genistin, Genistein, Mirificn รวมทั้ง Puerarin
คุณประโยชน์กวาวเครือขาว
หัว รสเย็นเบื่อเมา บำรุงเนื้อหนังให้เต่งตึง บำรุงสุขภาพ ชูกำลัง เป็นยาอายุวัฒนะสำหรับผู้สูงอายุ แก้เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวตามร่างกาย แก้เมื่อยล้า ผอมบาง นอนไม่หลับ มีฮอร์โมนเพศหญิงสูง ทาหรือกินทำให้เต้านพขยายตัว เส้นผมดกดำ เพิ่มเส้นผม เป็นยาปรับรอบเดือนอาจส่งผลให้แท้งบุตรได้ บำรุงความกำหนัด ทำให้อวัยวะสืบพันธุ์และก็มดลูกมีเลือดมาคั่งมากยิ่งขึ้น บำรุงอวัยวะสืบพันธุ์ให้ก้าวหน้า แก้โรคจาฟาง ต้อกระจก ทำให้ความจำดี ทำให้มีพลัง เคลื่อนไหวคล่องแคล่ว บำรุงเลือด กินได้นอน ผิวหนังเต่งตึงผุดผ่อง ช่วยลดอาการของสตรีวัยหมดประจำเดือน โดยมีการศึกษาฤทธิ์ขของกวาวเครือขาวต่อการลดอาการร้อนวูบวาบ มีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระและก็ช่วยทำให้เรื่องของความจำรวมทั้งการเรียน ช่วยลดอาการช่องคลอดแห้งในสตรีวัยหมดระดูได้
แบบอย่างแล้วก็ขนาดการใช้กวาวเครือขาว
สถาบันการแพทย์แผนไทย กระทรวงสาธารณสุข เจาะจงขนาดการใช้ดังนี้
การใช้เป็นส่วนประกอบในตำรับบำรุงย่างกาย ให้รับประทานยาตำรับที่มีส่วนประกอบของผงกวาวเครือขาว ไม่เกิน 1 – 2 มิลลิกรัม ต่อโลต่อวัน หรือราววันละไม่เกิน 50 – 100 มิลลิกรัม อาการข้างเคียงที่บางทีอาจพบได้คือ เจ็บเต้านม มีเลือดออกแตกต่างจากปกติทางช่องคลอด ปวดหรือเวียนหัว อาเจียนอาเจียน
แบบเรียนยาของหลวงอนุสารเสนาะ
เจาะจงขนาดที่ใช้ของหัวกวาวเครือขาว โดยให้รับประทานกวาวเครือขาวผสมน้ำผึ้ง ขนาดเท่าเม็ดพริกไทย 1 เม็ดต่อวัน รับประทานมากมายจะทำให้เมาเป็นพิษคนวัยหนุ่มสาวไม่สมควรกิน
การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยาของกวาวเครือขาว
การทดลองในหนูเพศเมียที่รับประทานกวาวเครือขาวพบว่า มีผลยั้งการให้นมของหนูที่กำลังให้นม โดยไปยังยั้งการก้าวหน้าของต่อมน้ำนม รวมทั้งการสร้างนม มีผลคุ้มครองการมีท้อง เมื่อให้หนูกินในตอนตั้งครรภ์วันที่ 1 – 10 ต่อเนื่องกัน หรือให้กินในตอนที่มีการเคลื่อนย้ายของตัวอ่อน โดยการทำให้มากเกินแท้ง แล้วก็เมื่อให้ในหนูที่ตัดรังไข่ออก รับประทานกวาวเครือพบว่าน้ำหนักของมดลูกรวมทั้งปริมาณของเหลวในมดลูกเพิ่มขึ้น เหมือนกับที่พบในหนูที่ได้รับ ethinyl estradiol และก็มีรายงานว่ากวาวเครือขาวมีฤทธิ์คุมกำเนิดที่ดีในหนูขาวเมื่อให้ในขนาด 1 กรัม/ตัว/อาทิตย์ ส่วนผลของกวาวเครือขาวต่อหนูเพศผู้พบว่าสัตว์มีความประพฤติการสืบเผ่าพันธุ์ลดน้อยลง แล้วก็มีขนาด และก็น้ำหนักอัณฑะ epididymis ต่อมลูกหมาก รวมทั้ง seminal vesicles ลดน้อยลง แล้วก็มีจำนวนตัวอสุจิ และก็เปอร์เซ็นต์การเคลื่อนไหวของตัวน้ำเชื้อน้อยลง
การเรียนรู้ทางสถานพยาบาลในระยะที่ 2 ในอาสาสมัครกรุ๊ปก่อนรวมทั้งข้างหลังวัยหมดประจำเดือน ที่มีลักษณะพร่องฮอร์โมนเอสโตรเจน ปริมาณ 37 ราย ใช้เวลา 6 เดือน เจอคะแนนของงอาการวัยหมดระดูน้อยลงจาก 35.6 เป็น 15.1 แล้วก็ 32.6 เป็น 13.69 ในกรุ๊ปที่ได้รับ 50 มก.ต่อวัน และ 100 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นลำดับ แม้กระนั้นเจออาการใกล้กันเป็นอาการคัดเลือกตึงเต้านมราวร้อยละ 35 และก็อาการเลือดออกกระปริดกระพรำประมาณร้อยละ 16.2

การเรียนรู้ทางพิษวิทยาของกวาวเครือขาว
การศึกษาพิษรุนแรงของผงหัวกวาวเครือขาวในรูปผงยาห้อยตะกอนในน้ำ พบว่าไม่นำมาซึ่งอาการพิษทันควันในหนูถีบจักร ขนาดที่ทำให้สัตว์ทดสอบตายกึ่งหนึ่ง (LD50) มีค่ามากกว่า 16 กิโลกรัม / น้ำหนักตัว 1 กิโล การทดลองพิษกึ่งเรื้อรังในหนูขาวพันธุ์วิสตาร์โดยการป้อนผงหัวกวาวเครือขาวในรูปผงยาห้อยตะกอนในน้ำ ขนาด 10 รวมทั้ง 100 มก./กก./วัน ไม่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดความไม่ดีเหมือนปกติต่อค่าเลือดวิทยา แล้วก็ค่าทางวิชาชีวเคมี หรือพยาธิภาวะอะไรก็แล้วแต่แม้กระนั้นการให้ในขนาด 1000 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน ทำให้หนูเกิดภาวะโลหิตจาง จำนวนเม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือด ระดับโคเลสเตอรอล น้ำหนักอัณฑะ ของหนูเพศผู้น้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ แล้วก็มีอัตราการเกิด hyperemia ของอัณฑะ ในหนูเพศภรรยาที่ได้รับในขนาด 100 รวมทั้ง 1000 มิลลิกรัม/กก./วัน พบว่าระดับโคเลสเตอรอคอยลลดลง มดลูกบวมเต่ง มีอัตราการเกิด cast ที่ไตสูงขึ้นยิ่งกว่ากรุ๊ปควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ
ข้อแนะนำ
หากกินเกินขนาด จะเป็นโทษได้ ทำให้มีลักษณะมึนเมา อ้วก อาเจียน ห้ามใช้ในหญิงวัยเจริญพันธุ์ เพราะเหตุว่าสารที่มีฤทธิ์เหมือนฮอร์โมนผู้หญิงในกวาวเครือขาวมีความแรงของตัวยาจะรบกวนหลักการทำงานของฮอร์โมนเพศ แล้วก็ระบบเมนส์ได้
สิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวัง ห้ามรับประทานเกินขนาดที่เสนอแนะให้ใช้

วันพุธที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2560

สรรพคุณสมุนไพรสมอภิเภก

สมอพิเภก ประโยชน์สรรพคุณและงานวิจัยข้อดีข้อเสีย

ชื่อสมุนไพร สมอภิเภก
ชื่ออื่นๆ/ชื่อประจำถิ่น ลัน (เชียงราย) ,แหน แหนต้น แหนขาว (ภาคเหนือ) ,ซิปะคู่ (กะเหรียง เชียงใหม่ ) ,สะคู้ (กะเหรียง แม่ฮ่องสอน) , สมอแหน (ภาคกลาง)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Terminalia bellirica (Gaeryn) Roxb
ชื่อสามัญ Beleric Myrobalan , lnkNot , Bahera และ Beleric
ชื่อวงค์ Combertaceae

ถิ่นกำเนิดสมอภิเภก

สมอพิเภกมีถิ่นกำเนิดในเอเซียอาคเนย์ สามารถได้โดยปกติในประเทศแถบนี้ ในประเทศไทย สามารถพบบ่อยตามป่าเต็งรังรวมทั้งป่าเบญจพรรณทางภาคเหนือ ภาคกึ่งกลาง ภาคตะวันตก ภาคตะวันออก แล้วก็ทางภาคอีสานที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 100 – 400 เมตร ส่วนทางภาคใต้ชอบพบขึ้นตามป่าดงดิบ

ลักษณะทั่วไปสมอพิเภก

ไม้ใหญ่ขนาดกึ่งกลางถึงกับขนาดใหญ่ ผลัดใบ สูง 15 – 35 เมตร ลำต้นเปลาตรง โคนต้นมักเป็นพูพอน เปลือกสีเทาอมน้ำตาลหรือเป็นสีกระดำกระด่างเป็นแห่งๆค่อนข้างจะเรียบหรือแตกเป็นร่องเล็กๆไปตามทางยาวลำต้น เปลือกในสีเหลือง เรือนยอดกลมแผ่กว้างแล้วก็ออกจะทึบ ก่อนอ่อนและยอดอ่อนมีขนห่างๆ ใบ เป็นประเภทคนเดียว ติดเวียนกันเป็นกลุ่มตามปลายๆกิ่ง ทรงใบรูปรีแกมรูปไข่กลับ กว้าง 9 – 15 ยาว 13 – 19 ซม. โคนใบสอบมาสู่ก้านใบ ส่วนที่ค่อนไปทางปลายใบผายกว้าง ปลายสุดจะหยัดคอดเป็นติ่งแหลมสั้นๆเส้นกิ้งก้านใบโค้งอ่อน มี 6 -10 คู่ เส้นใบแบบเส้นร่างแหเห็นชัดทางด้านท้องใบ เนื้อใบค่อนข้างดก ข้างหลังใบเขียวเข้มและมีขนสี

น้ำตาลกระจัดกระจายทั่วๆไป ท้องใบสีจางหรือสีเทามีขนนุ่มๆหุ้ม แม้กระนั้นทั้งสองด้านขนจะหลุดตกไปเมื่อใบแก่จัด ขอบใบเรียบ ก้านใบยาว 4 – 6 ซม. รอบๆกึ่งกลางก้านจะมีต่อมหรือตุ่มหูด หนึ่งคู่ ดอก เล็ก สีขาวอมเหลือง ออกเป็นช่อโดดเดี่ยวๆแบบหางกระรอก ที่ง่ามใบหรือรอยแผลใบตามกิ่ง ปลายช่อจะห้อยห้อยลง ช่อยาว 10 – 15 เซนติเมตร ดอกเพศผู้จำนวนมากจะอยู่ตามปลายๆช่อ ส่วนดอกสมบูรณ์เพศจะอยู่ตามโคนช่อ กลีบฐานดอก มี 5 กลีบ โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วยเล็กๆทั้งปวงมีขนทั่วๆไป ผมรเพศผู้มี 10 อัน เรียงซ้อนกันอยู่สองแถว รังไข ออกจะแป้น ภายในมีช่องเดียวและมีไข่อ่อน 2 หน่วย หลอดท่อรังไข่มีหลอดเดียว ผลกลมหรือกลมรีๆแข็ง ผิวนอกปกคลุมด้วยขนสีน้ำตาลหนาแน่น ออกรวมกันเป็นพวงโตๆ

 

การขยายพันธุ์สมอพิเภก

การขยายพันธุ์สมอพิเภกสามารถทำได้ 2 แนวทางเป็นการขยายพันธุ์โดยอาศัยเพศ โดยการเพาะเมล็ด และการขยายพันธุ์โดยแนวทางไม่อาศัยเพศ โดยการปักชำตอนกิ่ง สำหรับในการขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดนั้น ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับในการเก็บเมล็ดควรจะเก็บประมาณช่วงเดือนมากราคมจนกระทั่งพฤษภาคม กระบวนการเก็บเมล็ด เมล็ดที่เก็บใหม่ๆจะมีอัตราการงอก 85% เมล็ดที่เก็บไว้นานจะมีเปอร์เซ็นต์การงอกต่ำลง

ไม้สมอพิเภกซึ่งเป็นไม้ท้องถิ่นของประเทศไทย การกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติพบได้ในทุกภาคของเมืองไทย สามารถขึ้นได้ในดินแถบทุกประเภท โดยเหตุนั้นในเรื่องพื้นที่ปลูกก็เลยไม่ค่อยเจอปัญหาสำหรับไม้จำพวกนี้ การปลูกสมอพิเภกด้วนต้นกล้านั้น สามารถย้ายต้นกล้ามาปลูกได้โดยวิธีไม่มีดินหุ้มราก ขนาดของต้นกล้าที่เหมะสมในการย้ายปลูกต้องมีอายุ 6 – 7 เดือน มีความสูงราวๆ 40 ซม. ก่อนย้ายปลูกควรจะลิดใบแล้วก็ราก การย้ายต้นไม้จากแปลงเพาะไปปลูกควรจะย้ายในขณะอากาศเปียกชื้น แม้กระนั้นไม่ควรย้ายขณะฝนตกหนัก เพาะดินบางทีอาจเฉอะแฉะเหลือเกิน ดินบางทีอาจแน่นอากาศถ่ายเทไม่ได้ สำหรบอัตราการเจริญเติบโตรวมทั้งการปรับปรุงแก้ไขพันธุ์ไม้สมอพิเภกนั้น ยังไม่การเรียนรู้แล้วก็บันทึกข้อมูลไว้ ส่วนมากแล้วจะปลูกไว้เพื่อเป็นไม่ใช้สอยโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้คุณประโยชน์ทางด้านสมุนไพร

องค์ประกอบทางเคมีของสมอพิเภก

Chebulagic acid , ellegic acid , galli acid

สรรคุณสมอพิเภก

ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต่อต้านไวรัส ต้านทานเชื้อรา ต้านทานยีสต์ ฆ่าไส้เดือน ต่อต้านมาลาเรีย เป็นพิษต่อปลา แก้หืดแก้ไอ แก้หวัด เร่งการสร้างน้ำดี รักษาโรคตับเหลือง ลดความดันโลหิตยั้งระดับโคเลสโตรอลในเลือดสูง ยับยั้งหลอดเลือดอุดตัน ยั้งโรคเบาหวาน ลดระดับน้ำตาลในเลือด ยั้งฟันผุ ลดการอักเสบ แก้สิว คลายกล้ามเนื้อมดลูก ยับยั้งการฝังตัวของตัวอ่อนที่ฝาผนังมดลูก ยับยั้งการกลายพันธุ์ ยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี HIV-1 revese transcriptase , HIV-1 Protease

ตำรายาไทยสมอพิเภก

ผลอ่อนสมอพิเภก แก้ไข้เพื่อเสมหะ และก็ไข้เจือลม เป็นยาระบาย ยาถ่าน ผลแก่ แก้เสมหะ จุกคอ ทำให้ชุ่มคอ แก้โรคตา แก้ธาตุกำเริบเสิบสาน บำรุงธาตุ แก้ไข้ แก้ริดสีดวง แก้ท้องร่วงท้องร่วง รักษาโรคท้องมาน เมล็ดใน แก้บิด แก้บิดมูกเลือด สมอพิเภกจัดอยู่ใน “พิกัดตรีผลา” คือการจำกับจำนวนผลไม้ 3 อย่าง มี ลูกสมอพิเภก ลูกสมอไทย ลูกมะขามป้อม สรรพคุณแก้ปิตตะ วาตะ เสมหะ ในกองธาตุ กองฤดู กองอายุ และกองสมุฏฐาน “พิกัดตรีสมอ” คือการจำกัดจำนวนสมอ 3 อย่างมี ลูกสมอพิเภก ลูกสมอไทย ลูกสมอเทศ คุณประโยชน์แก้เสลด บำรุงธาตุ แก้ไข้ ผายธาตุ รู้ถ่ายทราบปิดเอง

รูปแบบ / ขนาดวิธีการใช้สมอพิเภก

  • ขับเยี่ยว ใช้เปลือก ต้น ต้มกิน ขับฉี่
  • เป็นยาระบาย ยาถ่าย ใช้ผลโตสมอพิเภกแม้กระนั้นยังไม่แก่ 2 – 3 ผล ต้มกับน้ำ 1 ถ้วยแก้ว ใส่เกลือเล็กน้อย กินครั้งเดียว
  • เป็นยาแก้ท้องเดิน ท้องเดิน (ไม่ใช่บิด หรือ อหิวาต์) ใช้ผลแก่ 2 – 3 ผล ต้มกับน้ำ 2 ถ้วยแก้ว ใส่เกลือเล็กน้อย เคี้ยวจนกระทั่งเหลือ 1 ถ้วยแก้ว ใช้รับประทาน
  • รักษาบาดแผล นำใบสดมาตำอย่างถี่ถ้วน แล้วพอกที่รอยแผล
  • แก้มะเร็ง สารสกัดจากสมุนไพรสมอพิเภกรวมกับสมอไทยและก็มะขามป้อมสามารถยั้งการเติบโตรวมทั้งช่วยฆ่าโรคมะเร็งได้

การศึกษาทางเภสัชวิทยาของสมอพิเภก

สารสกัดด้วยเอธานอลของสมอพิเภกช่วยเพิ่มการขับน้ำดีในหมา รวมทั้งทำให้ความดันโลหิตน้อยลงจนถึงตายได้ และขนาดที่ทำให้หนูถีบจักรตามกึ่งหนึ่ง (LD 50) เท่ากับ 4.25 กรัม / โล เมื่อให้ทางปากแต่ว่าสารสกัดด้วยน้ำของสมอพิเภกส่งผลน้อยต่อการขับน้ำดี รวมทั้งทำให้ความดันโลหิตน้อยลงเล็กน้อย รวมทั้งเมื่อป้อนสารสกัดสมอพิเภกในหนูถีบจักรขนาด 5 กรัม / โล ไม่ทำให้มีการเกิดอาการพิษ

การศึกษาทางพิษวิทยาของสมอพิเภก

สารสกัดด้วยเอธานอลของสมอพิเภกช่วยเพิ่มการขับน้ำดีในหมา และทำให้ความดันเลือดต่ำลงจนกระทั่งตายได้ รวมทั้งขนาดที่ทำให้หนูถีบจักรตามครึ่งหนึ่ง (LD 50) พอๆกับ 4.25 กรัม / กก. เมื่อให้ทางปากแต่ว่าสารสกัดด้วยน้ำของสมอพิเภกมีผลน้อยต่อการขับน้ำดี แล้วก็ทำให้ความดันเลือดลดลงเล็กน้อย และเมื่อป้อนสารสกัดสมอพิเภกในหนูถีบจักรขนาด 5 กรัม / โล ไม่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการพิษ

การเพาะปลูกสมุนไพรแปะก๊วย

แปะก๊วย ประโยชน์สรรพคุณ และงานวิจัยข้อดีข้อเสีย

ชื่อสมุนไพร แปะก๊วย
ชื่ออื่นๆ หยาเจียว (จีน) อิโจว(ญี่ปุ่น)
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Gingko biloba L.
ชื่อวงศ์ Ginkgoaceae

ถิ่นกำเนิดแปะก๊วย

แปะก๊วยมีบ้านเกิดอยู่แถบตะวันออกเฉียงใต้ของจีน เช้าใจกันว่าเป็นพืชที่โบราณที่สุดในโลก ที่หลงเหลืออยู่ในประเทศจีน ซึ่งเป็นพืชที่หายากรวมทั้งใกล้จะสิ้นพันธุ์ โดยพบอยู่ในธรรมชาติไม่กี่ต้น ต่อมามีการนำต้นแปะก๊วยไปปลูกไว้ในประเทศญี่ปุ่นรวมทั้งประเทศเกาหลี และก็ในราวศตวรรษที่ 18 ได้มีการปลูกในทวีปยุโรป ปัจจุบันต้นแปะก๊วยเป็นไม้ให้ความร่มเงาตามแถวถนนหนทางแล้วก็สวนสาธารณะทั่วๆไปทั่งในยุโรป ออสเตรเลีย แล้วก็อเมริกาลักษณะทั่วไป ต้นแปะก๊วยเป็นไม้ยื่นต้นขนาดใหญ่บางทีอาจสูงได้ถึง 35 – 40 เมตร ต้นโตเต็มกำลังมีเส้นรอบวงราวๆ 3 – 4 เมตร และบางทีอาจโตได้ถึง 7 เมตร ใบเป็นใบเดียว ลักษณะก็จะคล้ายพัด กว้าง 5 – 10 ซม. ก้านใบยาว ใบแก่มีรอยหยักเว้าตรงกลาง ใบออกเวียนสลับกัน หรือออกเป็นกลุ่มตามปลายกิ่ง เส้นใบขนานกันจำนวนไม่น้อย ใบอ่อนเป็นสีเขียว สามารถเปลี่ยนเป็นสีแก่ได้เมื่อโตสุดกำลัง แล้วก็เป็นสีเหลืองในฤดูใบไม้หล่น ต้นแปะก๊วยจะมีต้นตัวผู้ และต้นตัวเมีย ซึ่งลักษณะแตกต่าง

การขยายพันธุ์แปะก๊วย

ตอนนี้เพาะพันธุ์โดยขั้นตอนการ เพาะเมล็ด , ปักชำ , ทาบกิ่ง โดยวิธีการเพาะเม็ด มีดังนี้

  • ล้างเมล็ดแปะก๊วยในน้ำอุ่นให้สะอาดเพื่อไม่ให้เกิดเชื้อรา
  • หมกเม็ดที่ล้างแล้ว ในขุยมะพร้าวหรือเถ้าถ่านแกลบในถุงซิบล็อก ปิดถุงให้สนิท แล้วค่อยนำไปเก็บเอาไว้ในตู้เย็น (ช่องเก็บผัก) โดยประมาณ 12 อาทิตย์ ขณะนี้ให้รอหมั่นตรวจดูว่ามีต้นอ่อนเริ่มแตกออกมาหรือยัง ถ้าหากมีเม็ดไหน 

แตกออกก่อน 12 อาทิตย์ ก็แยกออกมาเพาะก่อน

  • ให้นำเมล็ดที่แตกออกก่อนมาเพาะในถุงชำ ใช้ดินถุงที่ขายธรรมดา ฝังเมล็ดแปะก๊วยลงไปราว 2 นิ้ว วางถุงเพาะชำให้โดนแดดอ่อนๆให้ดินที่

เพาะเมล็ดชื้ออยู่ตลอดเวลาแต่ว่าอย่าให้เฉอะแฉะ ต่อจากนั้นก็คอยให้ต้นเขาโตขึ้นมาก่อนที่จะนำไปปลูกลงดิน

  • สำหรับเมล็ดที่ไม่แตกออกก่อน พบครบ 12 อาทิตย์ในตู้เย็นก็ออกมาเพาะต่อตามข้อ 3

องค์ประกอบทางเคมีของแปะก๊วย

ใบแปะก๊วย มีสารประกอบทางเคมีมาก แม้กระนั้นที่สำคัญมีอยู่ 2 กรุ๊ป คือ เทอร์ปีนป่ายอย์ (terpenoids) มีสารประกอบที่สำคัญชื่อ กิงโกไลด์ (ginkgolide) รวมทั้งมีบิโลบาไลด์ (bilobalide) แล้วก็อีกกรุ๊ปเป็น ฟลา-โอ้อวดนอยด์ (flavonoids) นอกเหนือจากนี้ยังพบในพวกสารสตีรอยด์ (steroide) อนุพันธ์กรดอินทรีย์แล้วก็น้ำตาล

สรรพคุณแปะก๊วย

ฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ มีคุณลักษณะช่วยคุ้มครองโรคมะเร็ง และก็ยังสามารถชะลอความแก่ได้ ฤทธิ์การหยุดยั้งการยึดตัวของ เกล็ดเลือดทำให้การไหลเวียนของโลหิตในหลอดเลือดแดง หลอดเลือดดำ และเส้นเลือดฝอย ฤทธิ์เพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง ทำให้ความสามารถสำหรับการปฏิบัติงานรวมทั้งการตัดสินใจ ฤทธิ์กระตุ้นระบบไหลเวียนของเลือด ทำให้เลือดไหลฉีดไปตามผิวหนังก้าวหน้า ฤทธิ์เพิ่มความสามารถในการทำความเข้าใจ ฤทธิ์ยั้งการเกิดไลปิดเพอรอคอยกไซด์ ฤทธิ์ช่วยให้ความจำ ฤทธิ์ทำให้เส้นโลหิตหดตัว ฤทธิ์เพิ่มการมองมองเห็น แล้วก็ฤทธิ์ยั้งการเสื่อมของสมอง สร้างเสริมความสามารถทางเพศ จะช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดในร่างกาย ขจัดปัญหาเลือดไปไหลเวียนในรอบๆอวัยวะสืบพันธุ์ไม่สะดวก ทุเลาของกินของโรคพาร์กินสัน สารสกัดจากแปะก๊วยจำเข่าไปช่วยเพิ่มระบบไหลเวียนเลือดในสมอง ทำให้ร่างกายสามารถผลิตฮอร์โมนโดปามีนได้มากขึ้น รวมทั้งนำส่งไปยังอวัยวะต่างๆภายในร่างกายได้อย่างพอเพียง

แบบอย่างรวมทั้งขนาดวิธีการใช้

  • สารสกัดแปะก๊วยแห้ง –ใช้ 120 – 240 มก. แบ่งให้วันละ 2 – 3 ครั้ง สำหรับอาการ dementin โดยให้ยาต่อเนื่องกัน 8 อาทิตย์ แต่ว่าไม่เกิน 3 เดือน
  • สารสกัดแปะก๊วยแห้ง – ใช้ 120 – 160 มก. แบ่งให้วันละ 2 – 3 ครั้ง สำหรับรักษาอาการเส้นโลหิตแดงส่วนปลายประสาทตัน และ ความงงงัน มีเสียงในหู โดยให้ยาติดต่อกัน 6 – 8 อาทิตย์
  • สำหรับเพื่อการใช้เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ให้ใช้รับประทานไม่เกินวันละ 120 มก.

การศึกษาทางเภสัชวิทยาของแปะก๊วย

มีการทดลองแปะก๊วยกับคนเจ็บที่มีอาการบกพร่องเรื้อรังของสมองส่วนซีรีบรัม แล้วก็หลอดเลือดพบว่า ในแปะก๊วยช่วยให้มีการพัฒนาการทางความจำความนึกคิด นอนได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น ส่วนคนป่วยโรคอัลไซเมอร์นั้น ในสหรัฐฯ ใบแปะก๊วยก็ถูกให้อย่างมากมายเพื่อเป็นยารักษาอาการดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น โดยมีการทดสอบในปี 1994 ทดลองให้ใบแปะก๊วยกับกรุ๊ปคนไข้อัลไซเมอร์ พบว่าคนเจ็บมีความจำ และก็สมาธิเจริญขึ้น

ในปี 1996 ได้มีการทดลองพบว่าใบแปะก๊วยมีประสิทธิภาพช่วยคุ้มครองปกป้องผู้ที่มีอาการ AMS (Asthma & AcutE Mountain Sickness) หรือภาวการณ์เปลี่ยนไปจากปรกติของการหายใจขณะขึ้นสู่ที่สูงได้ ส่วนคนในฝูงชนที่ประสบพบเจอกับปัญหาหูอื้ออยู่เป็นประจำ การรับประทานอาหารใบแปะก๊วยยังช่วยลดสภาวะหูอื้อลงได้อีกด้วย

การศึกษาทางพิษวิทยาของแปะก๊วย

การทดสอบความเป็นพิษฉับพลันของแปะก๊วยในหนู พบว่าให้ค่า LD50 เท่ากับ 7725 มก./กิโลน้ำหนักตัว ไม่เจอผลที่กระตุ้นให้เกิดการก่อกลายประเภท (mutagen) หรือนำมาซึ่งมะเร็ง (carcinogen) และไม่เป็นพิษต่อ ระบบอวัยวะสืบพันธุ์

ข้อแนะนำ/ข้อควรระวัง

  • สาร Gingkolide จากใบแปะก๊วยมีฤทธิ์ยีนส์การยึดดึงของเกล็ดเลือด ถ้าหากกินยาแอสไพรินอยู่ประจำ หรือ กินยา Gingkolide อยู่อาจมีผลข้างเคียงของการที่เลือดไหลไม่หยุด
  • ถ้าเกิดกินสารสกัดจากในแปะก๊วยในจำนวนมาก อาจจะทำให้กำเนิดของกินอาเจียน คลื่นไส้ ท้องเสีย และมีอาหารกระวายกระวน
  • สำหรับหญิงตั้งครรภ์รวมทั้งให้นมบุตร ยังไม่มีการค้นคว้าตีพิมพ์ถึงความปลอดภัย หรือผลที่จะกำเนิดกับทารก

ทั้งถ้ารับประทานสารสกัดแปะก๊วยมากเกินไปอาจมีผลข้างเคียงทำให้ปวดหัว งงงัน เวียนศีรษะ ทางเดินอาหารป่วน หรืออาจกำเนิดอาการแพ้ทางผิวหนัง ระบบหายใจแล้วก็เส้นโลหิตผิดปกติ ง่วงซึม ระบบการนอนก็ปั่นป่วนไปด้วย

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : เเปะก๊วย

ข้อเเนะนำ/ข้อควรระวังสมุนไพรถั่งเช่า

ถั่งเช่า ประโยชน์สรรพคุณ และงานวิจัยข้อดีข้อเสีย

ชื่อสมุนไพร  ถั่งเช่า
ชื่ออื่นๆ ตังถั่งเช่า (dong Chong Cao) ,ตังถั่งแห่เช่า (dong Chong Xia Cao), หญ้าหนอน
ชื่อวิทยาศาสตร์ Ophiocord yceps  sinensis

ถิ่นกำเนิด

ถั่งเช่าพบได้ แถบทุ่งหญ้าประเทศจีน (ธิเบต) , เนปาล , ภูฎาน ในระดับความสูง 10000 -12000 ฟุต จากระดับน้ำทะเล  แต่ในปัจจุบันมีการเพาะเลี้ยง  ส่วนใหญ่เพาะเลี้ยงในบริเวณภาคใต้ของมณฑลชิงไห่ , เขตซานโตวในธิเบต   มณฑลเสฉาน   ยูนนาน   และกุ้ยโจว 

ลักษณะทั่วไปของถั่งเช่า

ถั่งเช่า ที่เรียกว่าต้นหญ้าหนอน เนื่องจากสมุนไพรชนิดนี้ประกอบไปด้วย 2 ส่วน ฤดูหนาวเป็นหนอน ฤดูร้อนเป็นต้นหญ้า คือ ส่วนที่เป็นตัวหนอน  ตัวหนอนของผีเสื้อ มีชื่อวิทยาศาสตร์ Hepialus  armoricanus Oberthiir  และบนตัวหนอนมีเห็ดประเภทหนึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ Cordyceps sinensis (Berk.) Saec. หนอนประเภทนี้ในช่วงฤดูหนาวจะฝังตัวจำศีลอยู่ใต้ดินภูเขาหิมะ  เมื่อน้ำแข็งเริ่มละลาย  สปอร์เห็ดจะพัดไปกับน้ำแข็งที่ละลาย แล้วไปตกที่พื้นดิน จากนนั้นตัวหนอนเหล่านี้ก็จะกินสปอร์ และเมื่อฤดูร้อนสปอร์ก็เริ่มเจริญเติบโตเป็นเส้นใยโดยอาศัยการดูดสารอาหารและก็แร่จากตัวหนอนนั้น เส้นใยแตกหน่อออกจากห้องของตัวหนอน แล้วก็งอกออกจากปากของมัน เห็ดพวกนี้ต้องการแสงตะวันมันก็เลยงอกขึ้นสู่พื้นดิน  รูปลักษณะข้างนอกคล้ายไม้กระบอก ส่วนตัวหนอนเองก็จะเบาๆตายไป อยู่ในรูปแบบของหนอนตามซาก  ฉะนั้น “ถั่งเช่า” ที่ใช้สำหรับเพื่อการทำเป็นยาก็คือ ตัวหนอนและเห็ดที่แห้งแล้วนั่นเอง  โดยถั่งเช่าที่มีคุณภาพดี  ตัวหนอนควรจะมีสีเหลืองแจ่มใส  แล้วก็มีความยาว ขนาดใหญ่บริบูรณ์ ข้างหน้าตัดมีสีขาวปนเหลือง  และก็ส่วนที่เป็นรา มีสีน้ำตาลเข้ม

การขยายพันธุ์ของถั่งเช่า

  • เตรียมขวดแก้ว
  • ตระเตรียมสารอาหารสำหรับเชื้อเห็ดถั่งเช่าสีทองคำหมายถึงข้าวสังข์หยด , ปลายข้าว , ข้าวโพด . ถั่วเขียว , ถั่วเหลือง , กากถั่วเหลืองรำข้าว , ตัวหนอนไหม(ดักแด้)(บด) เพื่อมาเป็นแหล่งโปรตีน ถ้าช่วงไหนไม่มีหนอนไหม ก็ให้ใช้ไข่แทน
  • นำน้ำกินที่ต้มกับมันฝรั่ง , ข้าวโพดอ่อน , ไข่ และจากนั้นจึงนำไปเพิ่มในขวดที่ใส่อาหารไว้
  • นำไปนึ่ง ในหม้อนึ่งความดัน ที่อุณหภูมิ 121 องศาเซลเซียส , ด้วยความดันที่ 15 ปอนด์/ตารางนิ้ว ตรงเวลา 30 นาที กรณีที่นึ่งด้วยลังถึง ให้นึ่งนานเป็นเวลา 30 – 40 นาที จากเมื่อน้ำเดือด , แล้วนำมาพักไว้ 1 วัน , แล้วนำมานึ่งแบบเดิมอีกรอบหนึ่ง
  • จากนั้นนำไปเขี่ยใส่เชื้อเห็ด ลงในขวดสารอาหาร แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปบ่งเชื้ออีก 2 อาทิตย์ ในที่มืด
  • ต่อจากนั้นนำมาเลี้ยงต่อในที่ ควบคุมอุณหภูมิ ให้มีความเย็น 18 องศา ต่ออีก 2 – 3 เดือน จนกระทั่งเห็ดขึ้นเต็มที่จึงเก็บผลิตผลได้

องค์ประกอบทางเคมีของถั่งเช่า

ถั่งเช่ามีส่วนประกอบทางเคมีที่สำคัญเป็น สารแมนนิทอล  (manniton) หรือกรดคอร์ดิเซพิก (cordycepic acid) มีปริมาณร้อยละ 7 – 29 (แตกต่างในระยะเติบโตต่างๆของดอกเห็ด) รวมทั้งสารคอร์ดิเซพิน (cordycepin) ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของสารอะดีโนซีน (adenosine) ยิ่งไปกว่านี้ยังเจอสารกรุ๊ปนิวคลีโอไซค์ (nucleosides) โปรตีน พอลิแซ็กคาไรค์ (polysaccharides) ไขมันสเตอคอยล (syerols) วิตามิน แร่ธาตุจำนวนบางส่วน ฯลฯ

สรรพคุณถั่งเช่า

  • ช่วยเสริมความสามารถทางเพศ มีฤทธิ์บำรุงกำลังทางเพศ ช่วยทำให้น้ำอสุจิแข็งแรก เพราะว่าการกินถั่งเช่าจะนำมาซึ่งการทำให้มีเลือดไปเลี้ยงอวัยวะเพศมากยิ่งขึ้น ถั่งเช่าสามารถช่วยเพิ่มปริมาณของสเปิร์มในสเปิร์มได้ โดยจากการเรียนในผู้ชาย 22 คนพบว่าเมื่อใช้ถั่งเช่าเป็นอาหารเสริมแล้ว จำนวนของสเปิร์มในน้ำอสุจิเพิ่มขึ้น 33% อีกทั้งยังลดปริมาณสเปิร์มที่มีความผิดธรรมดาลงได้ถึง 29% และก็เมื่อศึกษาเพิ่มก็พบว่าถั่งเช่าสามารถช่วยเพิ่มความอยากทางเพศได้ 66 – 86% อีกทั้งยังมีคุณสมบัติสำหรับเพื่อการคุ้มครองและก็เสริมสร้างหลักการทำงานของต่อมหมวกไต รวมทั้งเพิ่มจังหวะที่สเปิร์มจะถือกำเนิดได้
  • ช่วยปรับแนวทางการทำงานของหัวใจ ถั่งเช่า มีคุณประโยชน์ช่วยปรับให้อัตราการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติได้ ทั้งยังยังช่วยทุเลาอาการหัวใจขาดออกซิเจน แล้วก็เพิ่มออกซิเจนให้หัวใจได้
  • เสริมสร้างรูปแบบการทำงานของระบบภูมิต้านทาน ถั่งเช่ามีสรรพคุณช่วยปรับปรุงรูปแบบการทำงานของระบบภูมิต้านทานให้เป็นปกติ ช่วยให้ร่างกายสร้างเซลล์ภูมิต้านทานมากขึ้นเรื่อยๆ
  • ต้านทานมะเร็ง ถั่งเช่าก็ยังมีฤทธิ์สำหรับการต้านทานมะเร็ง โดยสารคอร์ไดเซปิน (Codycepin) ที่อยู่ในถั่งเช่าถือเป็นสารที่มีความสำคัญสำหรับในการต่อต้านการเกิดมะเร็ง คุ้มครองปกป้องการเกิดแล้วก็การแพร่ไปของเนื้อร้าย
  • ลดไขมันในเลือด ถั่งเช่ามีสรรพคุณควบคุมระดับไขมันในเลือด ลดคอเลสเตอรอล แล้วก็ตรีกลีเซอร์ไรด์ ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคภัยอื่นๆ
  • ฟื้นฟูแนวทางการทำงานของไต สำหรับผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง การกินถั่งเช่าจะช่วยบรรเทาอาการลง รวมทั้งทำให้สุขภาพไตดีขึ้น ทั้งยังยังลดความย่ำแย่ของไตที่เกิดขึ้นมาจากสารพิษตกค้างได้
  • เสริมสร้างการทำงานของตับ การกินถั่งเช่าเป็นอาหารเสริมจะช่วยลดผลกระทบจากพิษ และก็ป้องกันการเกิดพังพืดในตับ สารต้านอนุมูลอิสระก็ยังเข้าไปเพิ่มประสิทธิภาพแนวทางการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ลดความหลีกเลี่ยงสำหรับในการกำเนิดโรคไวรัสตับอักเสบได้ด้วย
  • บำรุงโลหิต สารที่อยู่ในถั่งเช่าก็ยังช่วยสร้างเสริมแนวทางการทำงานของระบบโลหิต ทำให้ร่างกายสร้างไขกระดูกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆซึ่งทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงแล้วก็เซลล์เม็ดเลือดขาวถูกผลิตในจำนวนที่พอเพียงต่อร่างกาย
  • ลดระดับน้ำตาลในเลือด ถั่งเช่านับว่าเป็นสมุนไพรอีกประเภทที่ช่วยลดน้ำตาลได้ โดยมีการศึกษาพบว่าการกินถั่งเช่าวันละ 3 กรัม จะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ถึง 95%

รูปแบบและขนาดวิธีใช้ถั่งเช่า

ขนาดบริโภคของผู้ใหญ่ (อายุมากกว่า 18 ปี) ในวันแล้ววันเล่า ราวๆ 3 – 9 กรัม

การศึกษาทางเภสัชวิทยาของถั่งเช่า

มีรายงานการเรียนฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของถั่งเช่าจำนวนมาก ทั้งฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิต้านทาน ต้านมะเร็งทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นลักษณะการทำงานของหัวใจรวมทั้งเส้นโลหิตปกป้องรักษาไตรวมทั้งตับ ต่อต้านอนุมูลอิสระ ฯลฯ

  • ฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อให้สารกรุ๊ปพอลิแซ็กคาไรด์ที่แยกได้จากถั่งเช่าแก่หนูเมาส์โดยฉีดเข้าหลอดโลหิตดำในขนาด 35 มก./กก. ตรงเวลา 5 วัน เรียนรู้เภสัชจลุกลนศาสตร์ของสารดังกล่าวในหนูเมาส์ต่อระบบภูมิคุ้มกันเทียบกับกรุ๊ปควบคุม พบว่าสารพอลิแซ็กคาไรด์แต่ละชนิดสามารถเพิ่มประสิทธิในการสนองตอบของระบบภูมิคุ้มกันดรรชนีม้าม (spleen index) ดรรชนีนิไทมัส (thymus index) และก็เพิ่มประสิทธิภาพการกลืนรับประทานของเซลล์แมคโครฟาจ (macrophages)
  • ฤทธิ์ต้านโรคมะเร็ง เมื่อให้ถั่งเช่าแก่หนูเมาส์ในขนาด 50 มก./โล พบว่ามีฤทธิ์ยั้งเซลล์ Hela โดยมีอัตราการเติบโต ดรรชนีทิคส์ (mitotic) ความรู้ความเข้าใจในการเติบโตของไขมันส่วนนุ่มต่ำยิ่งกว่ากลุ่มควบคุม โดยตำแหน่งที่ถูกทำลายเด่นชัดที่สุดคือนิวเคลียส ยิ่งไปกว่านี้ยังพบว่าถั่งเช่าในขนาด 50 มิลลิกรัม/โล มีฤทธิ์ยั้งเซลล์ของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวหนูเม้าส์ และก็มีฤทธิ์ต่อต้านเนื้องอกและยั้งการแพร่กระจายตามธรรมชาติของมะเร็งปอดหนู่เมาส์
  • ผลต่อระบบหัวใจและเส้นโลหิต มีรายงานการศึกษาในเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจที่แยกจากกายหนูแรท  โดยใช้เซลล์ myocytes ของหนูแรทแรกเกิด ดูกรุ๊ปเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจวาดภาพเซลล์ pollex โดยใช้ตัวแปลงสัญญาณจากแสงพบว่าถั่งเช่าในขนาด 0.66  มิลลิกรัม/มิลลิลิตร สามารถชะลออัตราการเต้นของเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ pollex ได้ อีกการทดสอบหนึ่งพบว่าสารสกัด 70% แอลกอฮอล์จากเส้นใยเห็ดของถั่งเช่ามีฤทธิ์เพิ่มการไหลเวียนของเลือดสุนัขที่ถูกสูดดมยาสลบและก็ลดระดับความดันเลือด
  • ฤทธิ์ปกป้องรักษาไต มีรายงานการเล่าเรียนในหนูแรทที่ได้รับยาไซโคลสปอริน (cyclosporine) ซึ่งเป็นพิษต่อไตประเภทรุนแรง พบว่าถั่งเช่าสามารถลดพิษของยาไซโคลสปอรินที่มีต่อไต แล้วก็ลดพิษของสมุนไพรเหลยกงเถิง
  • ฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ มีกล่าวว่าสารสกัดถั่งเช่ามีฤทธิ์ชะลอความแก่ของหนูถีบจักรที่ถูกเหนี่ยวนำด้วย ดี-กาแล็กโตสโดยถั่งเช่าช่วยเพิ่มความทรงจำในหนูแก่ เพิ่มประสิทธิภาพลักษณะการทำงานของตับ สมอง เม็ดเลือดแดง เอนไซม์ซุปเปอร์ออกไซด์ดิสไม่วเตส (super oxide dismutase; SOD) รวมทั้งเลือดทั้งผอง ลดระดับเอนโซม์โมโนเอมีนออกซิเดส (malondiadehyde; MDA) ในตับและก็สมอง

การศึกษาทางพิษวิทยาของถั่งเช่า 

มีรายงานการศึกษาความเป็นพิษของถั่งเช่า พบว่าขนาดสูงสุดของถั่งเช่าที่หนูเมาส์สามารถทนได้คือ 45 กรัม/กิโล  หรือประมาณ 250 เท่าของขนาดที่ใช้ในคน เมื่อให้สารสกัดถั่งเช่าโดยฉีดเข้าท้องหนูเมาส์  ขนาดที่ทำให้หนูตายร้อยละ 5 (LD 50) มีค่าเท่ากับ 27.1 กรัม/กก. เมื่อได้รับยาเกินขนาดจะมีลักษณะอาการเริ่มด้วยการขัดขวางทั่วๆไป ตามด้วยการกระตุ้นทั่วไป กระตุก ชัก รวมทั้งกดระบบทางเดินหายใจ นอกนั้นยังพบว่าถั่งเช่าไม่เป็นพิษต่อตัวอ่อน และไม่ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโต ไม่มีฤทธิ์ทำให้เกิดทารกวิรูป ในหนูเมาส์

ข้อแนะนำ ข้อควรระวัง

  • ควรจะระวังการใช้ในคนไข้เบาหวาน เนื่องด้วยถั่งเช่ามีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด จะไปเสริมฤทธิ์กับยาลดน้ำตาลในเลือด
  • ต้องระวังการใช้ในคนเจ็บที่ได้รับยากลุ่มคุ้มครองการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด เนื่องจากถั่งเช่ามีฤทธิ์ต้านการยึดกลุ่มของเกล็ดเลือด
  • ต้องระวังการใช้ในคนไข้ที่ได้รับยากดภูมิต้านทาน ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะถั่งเช่ามีฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิต้านทาน

ยอดเยี่ยมคุณประโยชน์กระชายดำอันน่าทึ่ง

กระชายดำ ประโยชน์สรรพคุณ และงานวิจัยข้อดีข้อเสีย

ชื่อสมุนไพร กระชายดำ

ชื่ออื่นๆ/ ชื่อท้องถิ่น กระชายม่วง , ว่านเพชรดำ , ขิงทราย (มหาสารคาม) , ว่านตกตะลึง , ว่านพญานกยูง , ว่านกั้นบัง ,ว่านกำบัง , ว่านกำบังภัย , กะแอน . ระแอน (ภาคเหนือ)

ชื่อวิทยาศาสตร์ Kaempferia parviflora Wallich. ex Baker

ชื่อวงศ์Zingiberaceae

ถิ่นกำเนิดกระชายดำ

มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เจอได้หนาแน่นในแถบมาเลเซีย เกะสุมาตรา เกาะบอร์เนียว อินโดจีน รวมทั้งในประเทศไทย แล้วก็มีเขตผู้กระทำระจายพันธุ์ทั่วๆไปในทวีปเอเชียเขตร้อน ในประเทศจีนตอนใต้ อินเดีย รวมทั้งเมียนมาร์ สำหรับเมืองไทยนั้นมีการปลูกกระชายดำมากในจังหวัดเลย ตาก จังหวัดกาญจนบุรี และก็จังหวัดอื่นๆทางภาคเหนือ

ลักษณะทั่วไปของกระชายดำ

กระชายดำจัดเป็นไม้ล้มลุกมีอายุนับเป็นเวลาหลายปีมีเหง้าอยู่โต้ดิน โดยในแต่ละส่วนมีรายละเอียดดังนี้

  • เหง้ากระชายดำ นั้นมีลักษณะเป็นทรงกลม เป็นปุ่มป่นเรียงต่อกัน และก็มักมีขนาดเท่าๆกัน มีหลายเหง้าแล้วก็อวบน้ำ ผิวเหง้ามีสีน้ำตาลอ่อนถึงสีน้ำตาบเข้ม แล้วก็บางทีอาจเจอรอยที่ผิวเหง้าเป็นรอบๆที่จะงอกของต้นใหม่ ส่วนเนื้อด้านในชองเหง้ามีสีม่วงอ่อน สีม่วงเข้ม ไปจนถึงม่วงดำ เหง้ามีกลิ่นหอมหวนส่วนตัว รวมทั้งมีรสชาติขมน้อย โดยกระชายดำที่ดีนั้นควรจะมีสีม่วงเข้มถึงสีดำ
  • ใบกระชายดำ มีใบเป็นใบลำพัง ลักษณะเป็นรูปรีหรือรูปไข่ มีความกว้างประมาณ 5 – 10 ซม. และยาวประมาณ 10 – 15 เซนติเมตร ปลายใบแหลม ขอบของใบหยักตามเส้นใบ ผิว ในเป็นร่องคลื่นตลอดใบตามแนวของเส้นใบ ใบมีสีเขียวสด ส่วนโคนก้านใบมีลักษณะเป็นกาบห่อหุ้มลำต้นไว้ ขอบก้านใบมีสีแดงตลอดความยาวของก้าน ศูนย์กลางก้านเป็นร่องลึก
  • ดอกกระชายดำ ดอกออกเป็นช่อแทรกขึ้นมาจากโคนกาบใบ ก้านช่อดอกมีความยาวโดยประมาณ 5 – 6 เซนติเมตร กลีบดอกที่ส่วนโคนเชื่อมเป็นหลอด ยาวโดยประมาณ 3 - 3.2 ซม. ที่ปลายแยกเป็นแฉก เกสรตัวผู้เป็นหมัน มีสีขาว ลักษณะเป็นรูปขอบขนาด มีความกว้างโดยประมาณ 3 มม. แล้วก็ยาวโดยประมาณ 10 -13 มิลลิเมตร ส่วนกลีบปลายมีสีม่วง

การขยายพันธุ์กระชายดำ

ขยายพันธุ์โดยการใช้หัวหรือแยกหน่อ ปลูกได้ทั้งปี แม้กระนั้นฤดูที่สมควรอยู่ในระหว่างเดือนมีนาคม – พ.ค. การเตรียมหัวกระชายดำสำหรับปลูก หัวกระชายดำหัวหนึ่งจะมีหลายแง่ง ให้บิ (หัก) ออกมาเป็นแง่งๆถ้าเกิดแง่งเล็กก็ 2 – 3 แง่ง ถ้าเกิดแง่งใหญ่บริบูรณ์ก็แค่แง่งเดียวก็เพียงพอ เนื่องจากเมื่อกระชายดำโตขึ้น กระชายดำก็จะแตกหน่อ แล้วก็กำเนิดหัวกระชายดำหัวใหม่ขึ้นมาแทน และก็จะขยายหัวรวมทั้งหน่อออกไปเรื่อยๆจะมากมายหรือน้อยขึ้นกับการรักษา ส่วนหัวหรือแง่งที่ใช้ปลูกไว้ในทีแรกๆที่เหี่ยวและก็แห้งไปสุดท้าย ก่อนนำไปปลูก ควรทารอยแผลของแง่งกระชายดำที่ถูกลบออกมาด้วยปูนรับประทานหมาก หรือจะจุ่มน้ำยากันเชื้อราก็ได้ แล้วผึ่งในที่ร่มกระทั่งหมดหรือแห้ง แล้วจึงนำไปปลูก การปลูกกระชายดำก็ดังการปลูกกระชายธรรมดาโดยธรรมดา สามารถปลุกเจริญในดินที่ร่วนซุย การระบายน้ำดี แม้กระนั้นระวังอย่าให้อุทกภัยขัง เพราะว่าจะมีผลให้หัวหรือเหง้าเน่าเสียได้ง่ายส่วนในดินเหนียว รวมทั้งดินลูกรังไม่ค่อยจะเหมาะสมนัก โดยธรรมชาติและกระชายดำขอบขึ้นตามร่มไม้ในป่าดงดิบ และป่าเบญจพรรณทั่วไป แม้กระนั้นในที่โล่งก็สามารถปลูกได้

องค์ประกอบทางเคมีของกระชายดำ

ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์พบว่า ในเหง้ากระชายดำมีน้ำมันหอมระเหยแม้กระนั้นเจอในปริมาณน้อย (ราวปริมาณร้อยละ 1 – 3) น้ำมันหอมระเหยของกระชายดำมีสารเคมีหลายอย่าง ได้แก่ 1.8-cineol,camphor, d-borneol รวมทั้ง methyl cinnamate น้ำมันหอมระเหยที่เจอส่วนน้อย ดังเช่นว่า d-pinene, zingiberene , zingiberone, curcumin และ zedoarin นอกนั้น ยังเจอสารอื่น เป็นต้นว่า กรุ๊ปไดไฮโดรซาลโคน pincocembrin แล้วก็กล่มุซาลโคน (อย่างเช่น 2 , 4 , 6-trihydroxy chalcone และ cardamonin)(ณาตยา ธนะศิริวัฒนา, สุนิดา ณ ตะกั่วทุ่ง, ธนนันต์ ฐานะจาโร,2540)

สูตรองค์ประกอบทางเคมีสารกรุ๊ป chalconeที่มา Rein (2005)

สูตรโครงสร้างทางเคมีสารกรุ๊ป Anthocyanin

ที่มา Castaneda-Ovando et al. (2009)

สรรพคุณกระชายดำ

ใช้ชูกำลัง แก้ปวดเมื่อยรวมทั้งอาการล้า รวมทั้งเพิ่มความสามารถทางเพศขับลม เป็นยาอายุวัฒนะ แก้จุกเสียด แก้เจ็บท้อง หรือโขลกกับเหล้าขาวคั้นน้ำ แก้โรคมดลูกทุพพลภาพ มดลูกหย่อนยาน ใช้กวาดคอเด็ก แก้โรคตานซางในเด็ก หรือต้มดื่มแก้โรคตา ช่วยบำรุงรักษาฮอร์โมนเพศชาย แก้กามตายด้าน ด้วยการใช้เหง้ากระชายดำสดนำมาดองกับเหล้าขาวแล้วก็น้ำผึ้งแท้ (ในอัตราส่วน 1 กก. : เหล้าขาว 3 ขวด : น้ำผึ้ง 1 ขวด) ดองทิ้งไว้โดยประมาณ 9 – 15 วัน แล้วประยุกต์ใช้ดื่มวันละ 1 – 2 เป๊ก (กระชายดำไม่ได้เป็นยาเร้าอารมณ์ทางเพศ แต่ว่าช่วงเวลาการแข็งตัวนานขึ้น และสำหรับผู้ที่ไม่ได้มีปัญหาดังที่กล่าวถึงมาแล้วก็สามารถรับประทานเพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแรกขึ้นได้)แม้สุภาพสตรีทานแล้วจะช่วยสำหรับในการปรับสมดุลของฮอร์โมนทางเพศ ช่วยกระตุ้นระบบประสาท ทำให้ร่างกายชุ่มชื่นกระชุ่มกระชวย ช่วยในการนอนหลับ แก้อาการนอนไม่ค่อยหลับในยามค่ำคืน ช่วยให้นอน

รูปแบบ , ขนาดวิธีการใช้

สำหรับวิธีการใช้กระชายดำเพื่อเป็นยาอายุวัฒนะ ใช้เป็นยาแก้ปวดท้อง แก้โรคบิด รวมทั้งลมป่วงทุกประเภท

  • ถ้าเกิดเป็นเหง้าสด ให้ใช้ราว 4 – 5 เอามาดองกับเหล้าขาว 1 ขวดก่อนนำมารับประทานเป็นอาหารมื้อเย็น ในจำนวน 30 cc. หรือ จะฝานเป็นแว่นบางๆแช่กับน้ำดื่ม หรือนำมาดองกับน้ำผึ้งในอัตราส่วน 1:1
  • หากเป็นเหง้าแห้งก็ให้ใช้ดองกับน้ำผึ้งในอัตราส่วน 1 ต่อ นาน 7 วัน แล้วนำมาใช้ดื่มก่อนนอน
  • ถ้าเป็นแบบชงหรือแบบผง ให้ใช้ผงแห้ง 1 ซอง ชงกับน้ำร้าน 1 แก้ว (ขนาน 120 cc.) และแต่งรสด้วยน้ำผึ้งหรือน้ำตาลตามความปรารถนา แล้วเอามาดื่ม

การเล่าเรียนทางเภสัชวิทยาของกระชายดำ

  1. ฤทธิ์ต้านทานอักเสบ สาร 5,7 – ได้การเซ่นสรวงอกซีฟลาโอ้อวดน (5,7-DMF) ที่แยกได้จากเหง้ากระชายดำ มีฤทธิ์ต้านทานการอักเสบเทียบเคียงได้กับยามาตรฐานหลายแบบเป็นแอสไพริน , อินโดความรู้สิน , ไฮไดรคอร์ติโซน รวมทั้งเพรดนิโซโลน จากการเรียนฤทธิ์ต้านอักเสบของสารนี้ ในสัตว์ทดสอบด้วยวิธีการต่างๆพบว่าสาร 5,7-DMF สามารถต่อต้านการอักเสบแบบฉับพลันได้ดีมากว่าแบบเรื้อรัง โดยแสดงฤทธิ์ยั้งการบวมของอุ้งเท้าหนูขาวจากสารติดอยู่ราจีนแนน และเคโอลินได้ดีกว่าฤทธิ์ยับยั้งการสร้าง granuloma จากการฝังสำลีใต้ผิวหนัง ยิ่งไปกว่านี้ พบว่า สาร 5,7-DMF มีฤทธิ์ยับยั้งการเกิด exudation และก็การผลิตสาร prostaglandin อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเล่าเรียนฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบในช่องปอดของหนูขาว (rat pleurisy) (ตระกูลความเจริญรุ่งเรือง ทัศนียกุล และก็สว่าง ปั้นทอง,2528)
  2. ฤทธิ์ต้านเชื้อจุลินทรีย์ สาร 5,7,4'-trimethoxyflavone รวมทั้ง 5,7,3' ,4' –tetramethoxyflavone แสดงฤทธิ์ต้านเชื้อ Plasmodium falciparum ที่เป็นสาเหตุของโรคไข้จับสั่น ส่วนสาร 3,5,7,4'-tetramethoxyflavone แล้วก็ 5,7,4'-trimethoxyflavone แสดงฤทธิ์ต้านเชื้อ Candida albicans และก็แสดงฤทธิ์ต้านทานเชื้อ Mycobacterium อย่างอ่อน (Wattanapitayakui S, Nawinprasert A, Herunsalee A, et al,2003)
  3. พิษต่อเซลล์ของโรคมะเร็ง (cytotoxic activity) จากการทดลองผลของฟลาโวนอยด์ 9 จำพวกของกระชายดำต่อเซลล์มะเร็ง อาทิเช่น KB , BC หรือ NCI-H187 ไม่พบว่ามีสารใดส่งผลให้เกิดพิษต่อเซลล์มะเร็งที่ทดลอง (วงศ์วิวัฒน์ ทัศนียกุล และอำไพ ปั้นทองคำ,2528)
  4. ฤทธิ์ขยายเส้นเลือดแดง มีรายงานการวิจัยว่า สารสกัดด้วยเอธานอลของกระชายดำมีฤทธิ์ขยายเส้นโลหิตแดงใหญ่ (aorta) ละลดการยุบเกร็งของ ลำไส้เล็กส่วนปลาย (ileum) ของหนูขาว รวมทั้งยั้งการยึดกรุ๊ปของเกล็ดเลือดของคน.(Yenchai C, Prasaphen K, Doodee S, et al,2004)

การเล่าเรียนทางพิษวิทยา

การเล่าเรียนพิษเรื้อรังช่วงเวลา 6 เดือน ของผงกระชายดำในหนูขาว ในขนาด 20 , 200 , 1000 และ 2000 มก/กิโลกรัม/วัน เทียบกับกรุ๊ปควบคุมที่ได้รับน้ำ พบว่า หนูที่ได้รับกระชายดำทุกกรุ๊ปมีน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น อาการแล้วก็สุขภาพไม่ได้มีความแตกต่างจากกลุ่มควบคุมหนูที่ได้รับกระชายดำขนาด 2000 มก/กก. มีน้ำหนักสมาคมของตับสูงยิ่งกว่ากรุ๊ปควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ บางทีอาจด้วยเหตุว่ามีน้ำหนักตัวที่ต่ำกว่ากรุ๊ปควบคุม และก็มีเม็ดเลือดขาวอิโอสิฟิสที่ได้รับกระชายดำ 2000 มก./กิโลกรัม หรูหราซีรั่มโซเดียมสูงยิ่งกว่ากรุ๊ปควบคุมอย่างเป็นจริงเป็นจังแม้กระนั้นยังอยู่ในช่วงค่าธรรมดา ผลของการตรวจอวัยวะทางจุลพยาธิวิทยานั้นไม่เจอการเปลี่ยนแปลงที่บ่งชี้ว่าเกิดความเป็นพิษของกระชายดำ (ทรงพล ชีวะพัฒน์, ณุฉัตรา จันทร์สุการค้า, ปราณี ชวลิตทรง และคณะ.2547)

ข้อแนะนำ /{ข้อควรระวัง

  • กระชายดำสามารถกินได้อีกทั้งหญิง รวมทั้งชายโดยไม่เกิดผลข้างๆอะไรก็แล้วแต่ยิ่งสำหรับคนแก่ก็พบว่านิยมใช้กันมานานมากแล้ว
  • ผลข้างเคียงของกระชายดำ การกินในขนาดสูง อาจส่งผลให้กำเนิดอาการใจสั่นได้
  • ห้ามใช้กระชายดำในเด็ก แล้วก็ในผู้ป่วยที่เป็นโรคตับ
  • การกินเหง้ากระชายดำต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลาที่นานๆ อาจจะเป็นผลให้เหงือกร่น
  • แม้ว่าจะมีงานศึกษาค้นคว้าและทำการวิจัยในสัตว์ทดลองที่บอกว่ากระชายดำไม่พบว่ามีความเป็นพิษ แต่ว่ายังไม่มีรายงานการศึกษาเรียนรู้วิจัยเพื่อประเมินประสิทธิผล ของการใช้กระชายดำในคนจำเป็นที่จะต้องกินในจำนวนที่พอดี เพื่อให้มีความปลอดภัย

วันอังคารที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ถิ่นกำเนิดสมุนไพรแปะก๊วย

แปะก๊วย ประโยชน์สรรพคุณ และงานวิจัยข้อดีข้อเสีย

ชื่อสมุนไพร แปะก๊วย
ชื่ออื่นๆ หยาเจียว (จีน) อิโจว(ญี่ปุ่น)
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Gingko biloba L.
ชื่อวงศ์ Ginkgoaceae

ถิ่นกำเนิดแปะก๊วย

แปะก๊วยมีบ้านเกิดเมืองนอนอยู่แถบตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน เชื่อกันว่าเป็นพืชที่โบราณที่สุดในโลก ที่คงเหลืออยู่ในประเทศจีน ซึ่งเป็นพืชที่หายากรวมทั้งใกล้จะสิ้นพันธุ์ โดยพบอยู่ในธรรมชาติไม่กี่ต้น ต่อมามีการนำต้นแปะก๊วยไปปลูกเอาไว้ในประเทศญี่ปุ่นรวมทั้งเกาหลี และก็ในราวศตวรรษที่ 18 ได้มีการปลูกในทวีปยุโรป ปัจจุบันนี้ต้นแปะก๊วยเป็นไม้ให้ความร่มเงาตามแถวถนนหนทางและสวนสาธารณะทั่วๆไปทั่งในยุโรป ประเทศออสเตรเลีย รวมทั้งอเมริกาลักษณะทั่วไป ต้นแปะก๊วยเป็นไม้ยื่นต้นขนาดใหญ่บางทีอาจสูงได้ถึง 35 – 40 เมตร ต้นโตสุดกำลังมีเส้นรอบวงประมาณ 3 – 4 เมตร แล้วก็บางทีอาจโตได้ถึง 7 เมตร ใบเป็นใบเดียว ลักษณะก็จะคล้ายพัด กว้าง 5 – 10 ซม. ก้านใบยาว ใบแก่มีรอยหยักเว้ากึ่งกลาง ใบออกเวียนสลับกัน หรือออกเป็นกระจุกตามปลายกิ่ง เส้นใบขนานกันจำนวนไม่ใช่น้อย ใบอ่อนเป็นสีเขียว สามารถกลายเป็นสีแก่ได้เมื่อโตเต็มที่ และก็เป็นสีเหลืองในฤดูใบไม้หล่น ต้นแปะก๊วยจะมีต้นเพศผู้ รวมทั้งต้นตัวเมีย ซึ่งลักษณะไม่เหมือนกัน

การขยายพันธุ์แปะก๊วย

เดี๋ยวนี้เพาะพันธุ์โดยกรรมวิธีการ เพาะเม็ด , ปักชำ , ทาบกิ่ง โดยกระบวนการเพาะเม็ด มีดังนี้

  • ล้างเมล็ดแปะก๊วยในน้ำอุ่นให้สะอาดเพื่อไม่ให้เกิดเชื้อรา
  • หมกเม็ดที่ล้างแล้ว ในขุยมะพร้าวหรือขี้เถ้าแกลบในถุงซิบล็อก ปิดถุงให้สนิท แล้วค่อยนำไปเก็บไว้ภายในตู้แช่เย็น (ช่องเก็บผัก) ประมาณ 12 อาทิตย์ ระยะนี้ให้รอหมั่นตรวจสอบว่ามีต้นอ่อนเริ่มแตกออกมาหรือยัง ถ้ามีเมล็ดไหน 

แตกออกก่อน 12 อาทิตย์ ก็แยกออกมาเพาะก่อน

  • ให้นำเมล็ดที่แตกหน่อก่อนมาเพาะในถุงชำ ใช้ดินถุงที่ขายธรรมดา ฝังเมล็ดแปะก๊วยลงไปราว 2 นิ้ว วางถุงเพาะชำให้โดนแดดอ่อนๆให้ดินที่

เพาะเม็ดชื้ออยู่ตลอดระยะเวลาแต่อย่าให้แฉะ จากนั้นก็คอยให้ต้นเขาโตขึ้นมาก่อนที่จะนำไปปลูกลงดิน

  • สำหรับเม็ดที่ไม่งอกก่อน พบครบ 12 อาทิตย์ในตู้แช่เย็นก็ออกมาเพาะต่อตามข้อ 3

องค์ประกอบทางเคมีของแปะก๊วย

ใบแปะก๊วย มีสารประกอบทางเคมีจำนวนมาก แต่ที่สำคัญมีอยู่ 2 กลุ่มเป็นเทอร์ปีนอย์ (terpenoids) มีสารประกอบที่สำคัญชื่อ กิงโกไลด์ (ginkgolide) และก็มีบิโลบาไลด์ (bilobalide) แล้วก็อีกกรุ๊ปเป็น ฟลา-โวนอยด์ (flavonoids) ยิ่งกว่านั้นยังเจอในพวกสารสตีรอยด์ (steroide) อนุพันธ์กรดอินทรีย์แล้วก็น้ำตาล

สรรพคุณแปะก๊วย

ฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ มีคุณลักษณะช่วยปกป้องโรคมะเร็ง แล้วก็ยังสามารถชะลอความแก่ได้ ฤทธิ์การหยุดยั้งการเกาะตัวของ เกล็ดเลือดทำให้การไหลเวียนของโลหิตในเส้นเลือดแดง หลอดเลือดดำ และก็เส้นเลือดฝอยดียิ่งขึ้น ฤทธิ์เพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง ทำให้ความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติงานและก็การตัดสินใจดียิ่งขึ้น ฤทธิ์กระตุ้นระบบไหลเวียนของเลือด ทำให้เลือดไหลฉีดไปตามผิวหนังได้ดิบได้ดี ฤทธิ์เพิ่มความสามารถในการเรียนรู้ ฤทธิ์ยั้งการเกิดไลปิดเพอรอกไซด์ ฤทธิ์ช่วยให้ความจำดีขึ้น ฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดหดตัว ฤทธิ์เพิ่มการมองมองเห็น รวมทั้งฤทธิ์ยั้งการเสื่อมของสมอง สร้างเสริมสมรรถนะทางเพศ จะช่วยทำให้ระบบไหลเวียนเลือดในร่างกายดีขึ้น ขจัดปัญหาเลือดไปไหลเวียนในรอบๆอวัยวะเพศไม่สบาย บรรเทาของกินของโรคพาร์กินสัน สารสกัดจากแปะก๊วยจำเข่าไปช่วยเพิ่มระบบไหลเวียนเลือดในสมอง ทำให้ร่างกายสามารถผลิตฮอร์โมนโดปามีนได้มากขึ้น และนำส่งไปยังอวัยวะต่างๆภายในร่างกายได้อย่างเพียงพอ

ต้นแบบแล้วก็ขนาดวิธีการใช้

  • สารสกัดแปะก๊วยแห้ง –ใช้ 120 – 240 มก. แบ่งให้วันละ 2 – 3 ครั้ง สำหรับอาการ dementin โดยให้ยาต่อเนื่องกัน 8 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 3 เดือน
  • สารสกัดแปะก๊วยแห้ง – ใช้ 120 – 160 มก. แบ่งให้วันละ 2 – 3 ครั้ง สำหรับรักษาอาการเส้นเลือดแดงส่วนปลายประสาทอุดตัน รวมทั้ง ความมึนหัว มีเสียงในหู โดยให้ยาต่อเนื่องกัน 6 – 8 อาทิตย์
  • สำหรับในการใช้เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ให้ใช้รับประทานไม่เกินวันละ 120 มิลลิกรัม

การศึกษาทางเภสัชวิทยาของแปะก๊วย

มีการทดสอบแปะก๊วยกับคนเจ็บที่มีอาการบกพร่องเรื้อรังของสมองส่วนซีรีบรัม รวมทั้งหลอดเลือดพบว่า ในแปะก๊วยช่วยทำให้มีการพัฒนาการทางความจำความคิด นอนหลับได้ง่ายขึ้น ส่วนผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์นั้น ในสหรัฐอเมริกา ใบแปะก๊วยก็ถูกให้อย่างมากมายเพื่อเป็นยารักษาอาการดังที่ได้กล่าวมาแล้ว โดยมีการทดสอบในปี 1994 ทดสอบให้ใบแปะก๊วยกับกลุ่มผู้ป่วยอัลไซเมอร์ พบว่าคนป่วยมีความจำ และก็สมาธิเจริญขึ้น

ในปี 1996 ได้มีการทดลองพบว่าใบแปะก๊วยมีประสิทธิภาพช่วยคุ้มครองคนที่มีลักษณะอาการ AMS (Asthma & AcutE Mountain Sickness) หรือภาวการณ์ผิดปรกติของการหายใจขณะขึ้นสู่ที่สูงได้ ส่วนคนในกลุ่มของผู้คนที่เผชิญปัญหาหูอื้ออยู่เป็นประจำ การทานอาหารใบแปะก๊วยยังช่วยลดภาวการณ์หูอื้อลงได้อีกด้วย

การศึกษาทางพิษวิทยาของแปะก๊วย

การทดสอบความเป็นพิษกระทันหันของแปะก๊วยในหนู พบว่าให้ค่า LD50 เท่ากับ 7725 มก./กิโลกรัมน้ำหนักตัว ไม่เจอผลที่ทำให้มีการเกิดการก่อกลายชนิด (mutagen) หรือกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดมะเร็ง (carcinogen) และไม่เป็นพิษต่อ ระบบอวัยวะสืบพันธุ์

ข้อแนะนำ/ข้อควรระวัง

  • สาร Gingkolide จากใบแปะก๊วยมีฤทธิ์ยีนส์การเกาะดึงของเกล็ดเลือด หากกินยาแอสไพรินอยู่ประจำ หรือ รับประทานยา Gingkolide อยู่อาจมีผลข้างเคียงของการที่เลือดไหลไม่หยุด
  • หากรับประทานสารสกัดจากในแปะก๊วยในจำนวนมาก อาจก่อให้กำเนิดอาหารคลื่นไส้ อ้วก ท้องเสีย รวมทั้งมีของกินร้อนใจ
  • สำหรับหญิงท้องแล้วก็ให้นมบุตร ยังไม่มีงานศึกษาเรียนรู้เผยแพร่ถึงความปลอดภัย หรือผลที่จะเกิดกับเด็กแรกคลอด

อีกทั้งถ้าหากรับประทานสารสกัดแปะก๊วยมากเกินไปอาจมีผลข้างเคียงทำให้ปวดหัว มึน เวียนศีรษะ ทางเดินอาหารปั่นป่วน หรือบางทีอาจเกิดอาการแพ้ทางผิวหนัง ระบบหายใจและก็หลอดเลือดไม่ดีเหมือนปกติ ง่วงซึม ระบบการนอนก็ป่วนปั่นไปด้วย

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : เเปะก๊วย

หญิงจำเป็นต้องรักษาสุขภาพด้วยสมุนไพรว่านชักมดลูก

สรรพคุณอันน่าทึ่ง 35 ประการของว่านชักมดลูก ขายว่านชักมดลูก มีความปลอดภัยมากยิ่งกว่า กวาวเครือขาว และยังช่วยทำให้ทำให้กล้ามเนื้อกระชับขึ้น  ...